คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1720/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินของโจทก์ออก น.ส.3 มาก่อนกฎกระทรวงประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ที่ดินของโจทก์ยังไม่ถูกเพิกถอน น.ส.3 โจทก์จึงยังคงมีสิทธิในที่ดินตามมาตรา 12 วรรคท้าย ของพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติฯ การที่จำเลยทั้งห้าทำนาในนาพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ต้องถือว่าจำเลยทั้งห้ายึดถือนาพิพาทแทนโจทก์ จำเลยทั้งห้าจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าไม่เจตนาจะยึดถือนาพิพาทแทนโจทก์ต่อไป ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 เท่านั้น เพียงแต่การไปขอให้ทางราชการออกหนังสืออนุญาตให้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินในนาพิพาทได้ชั่วคราว หรือ สทก.1 ยังไม่ถือว่าเป็นการบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการครอบครอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่นาตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) โดยรับมรดกจากบิดา จำเลยที่ 1 เช่านาดังกล่าวเรื่อยมาตั้งแต่บิดาโจทก์มีชีวิต โจทก์ไปขอเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็น น.ส.3 ก. จึงทราบว่าจำเลยทั้งห้าได้ลอบนำที่นาไปขอรับหนังสืออนุญาตให้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินชั่วคราว เรียกว่า สทก.1 จากกรมป่าไม้ โดยแบ่งนาพิพาทเป็นชื่อของตนคนละแปลงโจทก์ได้ร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบว่ามีการออกหนังสือ สทก. 1 ทับที่นาโจทก์ ทางราชการสั่งเพิกถอนหนังสือ สทก.1 ของจำเลยทั้งห้าแล้ว แต่จำเลยทั้งห้ายังคงอ้างว่าเป็นเจ้าของและแย่งทำนาพิพาทตลอดมา ขอให้พิพากษาว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยทั้งห้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยทั้งห้าชำระค่าเสียหาย
จำเลยทั้งห้าให้การว่า นาพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติจำเลยที่ 1 ก่นสร้างทำกินมาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว ไม่เคยเช่าบิดาโจทก์หรือเช่าจากโจทก์ จำเลยที่ 1 แบ่งให้แก่จำเลยที่ 2,ที่ 3, ที่ 4 และที่ 5 คนละส่วน เหลือสำหรับตนเองทำกินหนึ่งส่วนทางการได้ผ่อนผันให้จำเลยทั้งห้ามีสิทธิทำกินชั่วคราวโดยออกหนังสือสทก.1 ให้เป็นหลักฐาน หากศาลจะฟังว่านาพิพาทเป็นของโจทก์จำเลยทั้งห้าก็ครอบครองในฐานะเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีโจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องเอาคืน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งห้าออกจากนาพิพาทห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ปีละ 8,000 บาท นับแต่ฤดูทำนา ปี 2529 จนกว่าจะเลิกเกี่ยวข้องกับนาพิพาท
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินของโจทก์ออก น.ส.3 มาก่อนกฎกระทรวงประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติเทนมีย์ ที่ดินของโจทก์ยังไม่ถูกเพิกถอน น.ส.3 โจทก์จึงยังคงมีสิทธิในที่ดินตามมาตรา 12 วรรคท้าย ของพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ และฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งห้าอยู่ในนาพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์
ที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า จำเลยได้ขอให้ทางราชการออก สทก.1ตั้งแต่ปี 2526 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อเกิน 1 ปี จึงหมดสิทธิฟ้องนั้นเห็นว่า การที่จำเลยทั้งห้าทำนาในนาพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ต้องถือว่าจำเลยทั้งห้ายึดถือนาพิพาทแทนโจทก์ จำเลยทั้งห้าจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าไม่เจตนาจะยึดถือนาพิพาทแทนโจทก์ต่อไป ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 เท่านั้น เพียงแต่การไปขอให้ทางราชการออก สทก.1 หรือออกหนังสืออนุญาตให้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินในนาพิพาทได้ชั่วคราวยังถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการครอบครองต่อนายซามบิดาโจทก์หรือต่อโจทก์แล้ว จำเลยทั้งห้าจะไปขอให้ทางราชการออกหนังสือดังกล่าวช้านานเพียงใดโจทก์ก็ย่อมเรียกร้องเอานาพิพาทคืนได้
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งห้าใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,000 บาทแทนโจทก์

Share