แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยอยู่ในนาพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ ถือว่าจำเลยยึดถือนาพิพาทแทนโจทก์ การที่จำเลยไปขอให้ทางราชการออก สทก.1หรือหนังสืออนุญาตให้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินในนาพิพาทได้ชั่วคราว ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการครอบครองต่อโจทก์ แม้จำเลยจะไปขอให้ทางราชการออกหนังสือดังกล่าวช้านานเพียงใด โจทก์ก็ย่อมเรียกร้องเอานาพิพาทคืนได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่นาตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 45 หมู่ที่ 4 ตำบลเทนมีห์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ 68 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวาโดยรับมรดกจากบิดา เมื่อปี 2527 จำเลยที่ 1 เช่านาดังกล่าว ด้านทิศตะวันตก เนื้อที่ 26 ไร่ 3 งาน 26 ตารางวา ทำเรื่อยมาตั้งแต่บิดาโจทก์มีชีวิต เมื่อเดือนกรกฎาคม 2528 โจทก์ไปขอเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็น น.ส.3 ก. จึงทราบว่าจำเลยทั้งห้าได้ลอบนำที่นาไปขอรับหนังสืออนุญาตให้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินชั่วคราว เรียกว่า สทก.1 จากกรมป่าไม้รวม 5 ฉบับ ตั้งแต่ปี2526 โดยแบ่งนาพิพาทเป็นชื่อของตนคนละแปลง รายละเอียดปรากฏตามแผนที่ท้ายฟ้อง โจทก์ได้ร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบว่ามีการออกหนังสือ สทก.1 ทับที่นาโจทก์ ทางการสั่งเพิกถอนหนังสือ สทก.1 ของจำเลยทั้งห้าแล้ว เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน2529 แต่จำเลยทั้งห้ายังคงอ้างว่าเป็นเจ้าของและแย่งทำนาพิพาทตลอดมา นาพิพาททำนาได้ข้าวเปลือกปีละไม่น้อยกว่า 10 เกวียนพื้นเมือง คิดเป็นเงิน 14,400 บาท ขอให้พิพากษาว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งห้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยทั้งห้าชำระค่าเสียหายปีละ 14,400 บาท ตั้งแต่ปี 2529 จนกว่าจะเลิกเกี่ยวข้องกับนาพิพาท
จำเลยทั้งห้าให้การว่า นาพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติจำเลยที่ 1 ก่นสร้างทำกินมาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว ไม่เคยเช่าบิดาโจทก์หรือเช่าจากโจทก์ จำเลยที่ 1 แบ่งให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 คนละส่วน เหลือสำหรับตนเองทำกินหนึ่งส่วนตามแผนที่ท้ายฟ้องมาตั้งแต่ปี 2516 ทางการได้ผ่อนผันให้จำเลยทั้งห้ามีสิทธิทำกินชั่วคราวโดยออกหนังสือ สทก.1 ให้เป็นหลักฐาน หากศาลจะฟังว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยทั้งห้าก็ครอบครองในฐานะเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี โจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องเอาคืน นาพิพาททำนาได้ข้าวเปลือกอย่างสูงปีละ 5 เกวียนพื้นเมือง คิดเป็นเงินไม่เกิน 7,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งห้าออกจากนาพิพาทห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ปีละ 8,000 บาทนับแต่ฤดูทำนา ปี 2529 จนกว่าจะเลิกเกี่ยวข้องนาพิพาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า จำเลยได้ขอให้ทางราชการออก สทก.1 ตั้งแต่ปี 2526 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อเกิน 1 ปีจึงหมดสิทธิฟ้องนั้นเห็นว่าการที่จำเลยทั้งห้าทำนาในนาพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ดังวินิจฉัยมาแล้วข้างต้น ต้องถือว่าจำเลยทั้งห้ายึดถือนาพิพาทแทนโจทก์ จำเลยทั้งห้าจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าไม่เจตนาจะยึดถือนาพิพาทแทนโจทก์ต่อไป ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 เท่านั้นเพียงแต่การไปขอให้ทางราชการออก สทก.1 หรือหนังสืออนุญาตให้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินในนาพิพาทได้ชั่วคราวยังถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการครอบครองต่อนายชามบิดาโจทก์หรือต่อโจทก์แล้ว จำเลยทั้งห้าจะไปขอให้ทางราชการออกหนังสือดังกล่าวช้านานเพียงใดโจทก์ก็ย่อมเรียกร้องเอานาพิพาทคืนได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งห้าฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน