คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1720/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฎีกาว่า เอกสารกู้ยืมในช่องผู้ให้กู้มีแต่ลายมือชื่อของ บ. ไม่มีกรรมการของบริษัทโจทก์อีก 1 นายลงลายมือชื่อร่วมด้วยและมิได้ประทับตราของบริษัท บริษัทโจทก์มิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยและมิได้มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยอันจะขอให้ศาลบังคับจำเลยได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปรากฏว่าประเด็นข้อนี้มิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แม้ตามคำให้การของจำเลยจะได้กล่าวไว้ด้วยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แต่ก็กล่าวสืบเนื่องมาแต่เหตุซึ่งจำเลยอ้างว่าจำเลยถือว่าโจทก์ผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเสนอขายที่ดินให้โจทก์ และจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินของโจทก์ไปจากตัวแทนโจทก์ โดยตกลงกันว่าเมื่อโจทก์พอใจซื้อที่ดินของจำเลยก็ให้หักเงินจำนวนนี้เป็นส่วนหนึ่งของเงินค่าที่ดิน ต่อมาโจทก์จำเลยได้ตกลงซื้อขายที่ดินกันอย่างแน่นอนโดยตกลงกันว่าเงินที่จำเลยกู้ไปให้ถือเป็นเงินมัดจำค่าที่ดินและจำเลยยังขอรับเงินมัดจำค่าที่ดินเพิ่มขึ้นอีกด้วย หลังจากนั้นโจทก์ได้ติดต่อให้จำเลยดำเนินการขอขายที่ดินให้โจทก์ จำเลยกลับบ่ายเบี่ยง ขอให้บังคับจำเลยทำนิติกรรมโอนขายที่ดินให้แก่โจทก์

จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องจำเลยได้นำไปจำนองไว้ ซึ่งโจทก์ก็ทราบดีโจทก์จำเลยตกลงกันว่า โจทก์จะต้องชำระค่าที่ดินให้จำเลยก่อนเพื่อจำเลยจะนำไปไถ่ถอนจำนองจะได้โอนให้แก่โจทก์โดยสะดวก แล้วโจทก์ผิดสัญญาขอเปลี่ยนแปลงข้อตกลงใหม่ ขอให้จำเลยไถ่ถอนจำนองแล้วนำมาจำนองไว้แก่โจทก์ก่อนที่จะทำสัญญาซื้อขายกัน จำเลยจึงไม่ตกลงและได้เร่งรัดโจทก์ให้มาทำสัญญาซื้อขายกันโจทก์กลับถ่วงเวลา จำเลยได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ไปทำสัญญาซื้อขายกันภายใน 15 วัน หากพ้นกำหนดแล้วโจทก์ไม่จัดการจะถือว่าโจทก์ไม่ติดใจซื้อและขอเลิกสัญญา โจทก์ได้รับหนังสือแล้วไม่จัดการอย่างใดจนพ้นกำหนด จำเลยจึงถือว่าโจทก์ผิดสัญญาและข้อตกลงซื้อขายที่ดินได้ระงับไปแล้วโดยการบอกเลิกสัญญา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์ และให้โจทก์ชำระราคาซื้อขายแก่จำเลย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาว่า เอกสารสัญญากู้ยืมเงินในช่องเจ้าของเงินผู้ให้กู้ มีแต่ลายมือชื่อของ บ. เพียงคนเดียว ไม่มีกรรมการของบริษัทโจทก์อีก 1 นายลงลายมือชื่อร่วมด้วย และมิได้ประทับตราของบริษัทถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กู้เงิน เสนอขายที่ดินและรับเงินมัดจำของบริษัทโจทก์ บริษัทโจทก์มิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย มิได้มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยอันจะขอให้ศาลบังคับจำเลยได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปรากฏว่าประเด็นข้อนี้ไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เพราะตามคำให้การของจำเลยนั้นแม้จำเลยจะได้กล่าวไว้ด้วยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย แต่ก็กล่าวสืบเนื่องมาแต่เหตุซึ่งจำเลยอ้างว่าจำเลยถือว่าโจทก์ผิดสัญญาและถือว่าข้อตกลงซื้อขายที่ดินได้ระงับไปแล้ว จึงวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ให้ไม่ได้

พิพากษายืน

Share