แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
นิติบุคคลเป็นโจทก์มีผู้แทนนิติบุคคลเป็นผู้ลงนามแต่งตั้งทนายความให้ดำเนินคดีแทนโจทก์ไว้แล้วในนามนิติบุคคล หาใช่แต่งตั้งเป็นส่วนตัว แม้ต่อมาผู้แทนนั้นถึงแก่อสัญกรรมไปแล้วการแต่งตั้งทนายเป็นผู้ดำเนินคดีแทนหาได้สิ้นสุดไปไม่ ทนายโจทก์ยังคงมีอำนาจดำเนินคดีต่อไปได้ (ตามนัยฎีกาที่ 480/2502)
การที่จำเลยซื้อเรือนได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลประกาศขายทอดตลาดมีเงื่อนไขอยู่ว่า ผู้ใดซื้อได้ให้รื้อไป จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินให้เช่าปลูกได้ต่อไปโดยมิได้มีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล โดยพลตรีหม่อมทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์เป็นผู้แทน โจทก์ได้ให้นางกุหลาบ มิคร้าม เช่าที่ดินแปลงหมายเลข 30 ก. ต่อมานางกุหลาบขอแบ่งที่เช่าให้แก่นางสมจิตร คงสมบูรณ์ ส่วนหนึ่งเป็นแปลงหมายเลข 30 ช. และขอโอนการเช่าที่ดินส่วนนี้พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างให้แก่นางสมจิตรด้วย โจทก์ยินยอม นางสมจิตรจึงได้ทำสัญญาเช่าที่ดินจากโจทก์แล้ว แต่ไม่อาจทำนิติกรรมซื้อขายเรือนในที่ดินนี้ได้ เพราะเจ้าหนี้นางกุหลาบคัดค้าน ต่อมาสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวถูกขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล จำเลยเป็นผู้ประมูลซื้อได้ โดยจะต้องรื้อถอนไปด้วย แต่จำเลยไม่รื้อถอนนางสมจิตรจึงเข้าครอบครองที่เช่าไม่ได้ โจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนออกไป จำเลยก็เพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับให้รื้อถอนพร้อมทั้งชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า พลตรีหม่อมทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์ได้ถึงแก่อสัญกรรมไปแล้ว หลังจากฟ้องคดีนี้ ขณะนี้ยังไม่มีการแต่งตั้งผู้อำนวยการใหม่ อำนาจฟ้องของโจทก์จึงสิ้นสุดลง ควรพิพากษายกฟ้องและจำเลยได้ยื่นเรื่องราวขอเช่าที่แปลง 30 ช. กับโจทก์แล้ว โจทก์ตกลงให้จำเลยเช่า ทั้งแจ้งให้นางสมจิตรทราบเพื่อให้โอนการเช่าให้จำเลยแล้ว แต่โจทก์กลับแจ้งให้จำเลยรื้อเรือนออกไป เป็นการผิดสัญญา ทำให้จำเลยเสียหาย 20,000 บาท จึงขอให้บังคับโจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินแปลง 30 ช.ให้จำเลย หากไม่สามารถให้เช่าได้ ก็ให้ใช้เงิน 20,000 บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล เมื่อพลตรีหม่อมทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์ ถึงแก่อสัญกรรม ก็ได้ตั้งนายเฉลิม เชี่ยวสกุล รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนแล้ว อำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์หาสิ้นสุดไปไม่ นางสมจิตรไม่ได้ผิดสัญญา โจทก์จึงให้นางสมจิตรเช่าที่ดินแปลง 30 ช. ตลอดมา ตามประกาศขายทอดตลาดของกองบังคับคดีแพ่งมีว่า ผู้ซื้อเรือนได้จะต้องรื้อเรือนออกไป จำเลยจึงต้องรับผิดชอบในความเสียหายเอง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามคำฟ้อง คำให้การฟ้องแย้ง และคำให้การแก้ฟ้องแย้ง คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่าย แล้วพิพากษาว่า การที่พลตรีหม่อมทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์ ถึงแก่อสัญกรรมภายหลังฟ้องคดีแล้ว มิได้กระทบกระเทือนอำนาจดำเนินคดีของโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลจำเลยไม่มีหลักฐานการเช่ากับโจทก์ ไม่มีสิทธิปลูกบ้านที่ซื้อได้จากการขายทอดตลาดในที่ดินของโจทก์ต่อไป และไม่มีสิทธิฟ้องแย้ง จึงให้จำเลยรื้อเรือนออกไป กับให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินโจทก์ พร้อมทั้งชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 30 บาท จนกว่าจะรื้อถอนเรือนเสร็จ และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์โจทก์ในคดีนี้เป็นนิติบุคคล พลตรีหม่อมทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์ผู้อำนวยการแต่งตั้งทนายความให้ดำเนินคดีแทนโจทก์ไว้แล้วในนามนิติบุคคล หาใช่แต่งตั้งเป็นส่วนตัว แม้พลตรีหม่อมทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์ถึงแก่อสัญกรรมไปแล้ว การแต่งตั้งทนายความเป็นผู้แทนดำเนินคดีนั้นหาได้สิ้นสุดไปไม่ ทนายโจทก์ยังคงมีอำนาจดำเนินคดีต่อไป ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยซื้อเรือนได้จากการขายทอดตลาด จำเลยจึงมีสิทธิอยู่ในที่พิพาทต่อไปนั้น เห็นว่า ตามประกาศขายทอดตลาดของกองบังคับคดีแพ่ง ได้กำหนดเงื่อนไขไว้แล้วว่า ผู้ใดซื้อได้ให้รื้อไป ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ได้ตกลงให้จำเลยเช่าปลูกเรือนอยู่ในที่พิพาทได้ต่อไปนั้น หาได้มีหนังสือสัญญาเช่าเป็นหลักฐานไม่ จำเลยจะอ้างหนังสือที่โจทก์มีติดต่อกับนางสมจิตร หรือหนังสือที่จำเลยเสนอขอเช่าที่ดินกับโจทก์มาเป็นหลักฐานใช้ยันโจทก์หาได้ไม่ โจทก์ยังไม่ได้ตกลงให้จำเลยเช่า ยังไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีนั้น ชอบแล้ว
พิพากษายืน