คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1710/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยไม่มาศาล โดยไม่ทราบเหตุขัดข้องศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยขาดนัดพิจารณา ให้สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วโจทก์แถลงหมดพยาน ศาลสั่งนัดสืบพยานจำเลยก่อนถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ คำร้องของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นคำร้องที่อ้างว่าการขาดนัดพิจารณานั้น มิได้เป็นไปโดยจงใจ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีนั้นใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 แม้เมื่อถึงวันนัดนั้นทนายจำเลยจะแถลงว่ายังไม่ได้ส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์ ซึ่งถือว่าจำเลยทิ้งคำร้องก็ตาม ก็ไม่เป็นผลให้ตัดสิทธิจำเลยที่จะยื่นคำขอให้มีการพิจารณาใหม่หลังจากที่ศาลได้สั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและมีคำพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีในประเด็นที่พิพาทแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 และเมื่อจำเลยมีคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อีกโดยถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ก็ชอบที่ศาลจะรับคำร้องของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่ารถยนต์เป็นเงิน ๔๕,๕๔๙ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดรวมเป็นเงิน ๕๑,๑๔๒ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถ ไม่เคยเช่ารถจากโจทก์ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์นำสืบก่อน
ในวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๑๕ จำเลยไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลจึงสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา ให้สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว โจทก์นำพยานเข้าสืบแล้วแถลงหมดพยาน ศาลนัดสืบพยานจำเลยวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๑๕
วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๑๕ จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ อ้างเหตุว่าทนายจำเลยได้นำเรือออกทะเลไปกิจธุระส่วนตัวที่เกาะอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เรือเกิดเสียต้องหยุดซ่อมแซมที่เกาะถึง ๓ วัน ไม่สามารถแจ้งเหตุให้ศาลทราบ และไม่สามารถมาศาลในวันนัดได้ ศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งสำเนาให้โจทก์นัดไต่สวน ครั้นถึงวันนัดไต่สวนวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๑๕ ทนายจำเลยแถลงว่ายังไม่ได้ส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยทิ้งคำร้อง จึงให้ยกคำร้องเสียทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ ไม่ต้องนัดสืบพยานจำเลย คดีเสร็จการพิจารณาแล้วพิพากษาเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๑๕ ให้จำเลยชำระค่าเช่า ๔๕,๕๔๙ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๑๓จนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ต่อมาจำเลยได้รับคำบังคับตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๑๖ จำเลยจึงยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ ขอให้พิจารณาคดีนี้ใหม่ว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาโดยกล่าวถึงเหตุจำเป็นของทนายจำเลยเช่นเดียวกับคำร้องที่ยื่นเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๑๕ และมีข้อคัดค้านคำพิพากษาของศาลที่ให้จำเลยแพ้คดี ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยเคยขอพิจารณาใหม่เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๑๕ แล้วทิ้งคำร้องนั้นเสียจำเลยจะมาขอพิจารณาคดีใหม่อีกไม่ได้ ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอของจำเลยไว้ดำเนินการ แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๑๕ นั้น เป็นคำร้องที่ยื่นต่อศาลในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียว และจำเลยมาศาลภายหลังที่ได้สืบพยานโจทก์ไปแล้ว แต่ยังอยู่ในระหว่างนัดสืบพยานจำเลยต่อไป คำร้องของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นคำร้องที่อ้างว่าการขาดนัดพิจารณานั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีนั้นใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๕ แม้เมื่อถึงวันนัดไต่สวนคำร้องนั้น ทนายจำเลยจะแถลงว่ายังไม่ได้ส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์ ซึ่งถือว่าจำเลยทิ้งคำร้องก็ตามก็ไม่เป็นผลให้ตัดสิทธิจำเลยที่จะยื่นคำขอให้มีการพิจารณาใหม่หลังจากที่ศาลได้สั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา และมีคำพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีในประเด็นที่พิพาทแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๗ และเมื่อจำเลยได้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ตามคำร้องลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ โดยถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๐๘ ก็ชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยดังกล่าวไว้ดำเนินการต่อไป ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share