แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกระทำผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งตัวจำเลยไปฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ต่อมาคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดมีคำวินิจฉัยว่าพบประวัติการกระทำความผิดของจำเลยว่า จำเลยเคยเข้ารับการฟื้นฟูในความผิดฐานเสพและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองแล้วไม่ปฏิบัติตามแผนฟื้นฟูและผลการฟื้นฟูไม่เป็นที่พอใจ จึงแจ้งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป คดีก่อนที่จำเลยต้องหาว่ากระทำผิดฐานเสพและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง จำเลยต้องเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด กรณีถือว่าจำเลยยังไม่ได้รับการฟื้นฟูให้ครบถ้วนตามแผนฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 30 และมาตรา 31 พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจหน้าที่จับจำเลยเข้าไปไว้ในศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดเพื่อบำบัดฟื้นฟูตามแผนและให้มีอำนาจลงโทษตามมาตรา 32 ได้อีกด้วย แต่เมื่อได้ตัวจำเลยมาดำเนินคดีนี้แล้ว ไม่ปรากฏว่าคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดได้ดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่ามีข้อเท็จจริงปรากฏภายหลังที่ศาลมีคำสั่งตามมาตรา 19 ว่า จำเลยต้องหาหรือถูกดำเนินคดีในความผิดฐานอื่นซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 การที่คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดมีคำวินิจฉัยคดีนี้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานอื่นและเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกตามมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 โดยไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 57, 91, 97 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 และเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่รับฟ้อง ให้โจทก์ส่งตัวจำเลยไปดำเนินการตามแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดต่อไป
โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการ สำนักงานอัยการคดีศาลสูงภาค 6 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2557 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยโดยกล่าวหาว่า กระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ต่อมาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ส่งตัวจำเลยไปเพื่อตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติด แต่คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดพิษณุโลก มีคำวินิจฉัยที่ 816/2557 ว่า พบประวัติการกระทำความผิดของจำเลย โดยคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดพิษณุโลก มีคำวินิจฉัยที่ 996/2553 ให้จำเลยเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดแบบไม่ควบคุมตัวในโปรแกรมของสำนักงานคุมประพฤติมีกำหนด 6 เดือน ในความผิดฐานเสพและมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครอง แต่ในระหว่างการฟื้นฟูจำเลยไม่ปฏิบัติตามแผนการฟื้นฟูและผลการฟื้นฟูไม่เป็นที่น่าพอใจ คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดพิษณุโลก จึงมีคำสั่งที่ 894/2554 แจ้งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก ซึ่งเป็นกรณีที่จำเลยอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีในความผิดฐานอื่น และเป็นความผิดที่มีโทษจำคุก ต้องตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 จึงแจ้งพนักงานสอบสวนเพื่อร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งคืนตัวจำเลยไปยังพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 นั้น ผู้ที่จะถูกส่งตัวไปเข้ารับการฟื้นฟู คือ บุคคลที่ต้องหาว่ากระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 19 ไม่ว่าผู้นั้นจะยินยอมเข้ารับการฟื้นฟูหรือไม่ก็ตาม โดยศาลจะมีคำสั่งให้ส่งตัวผู้นั้นไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดก่อนและคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดมีอำนาจวินิจฉัยว่าผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ผู้ใดเป็นผู้เสพหรือติดยาเสพติด จากนั้นจะต้องจัดให้มีแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามมาตรา 22 ซึ่งคดีที่จำเลยต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเสพและมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองก่อนหน้าคดีนี้นั้น จำเลยต้องเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดพิษณุโลกกำหนด แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดดังกล่าว กรณีจึงถือว่าจำเลยยังไม่ได้รับการฟื้นฟูให้ครบถ้วนตามแผนฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 30 และมาตรา 31 พนักงานเจ้าหน้าที่จึงมีอำนาจและหน้าที่จับจำเลยเข้าไว้ในศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดเพื่อบำบัดฟื้นฟูตามแผนและให้มีอำนาจลงโทษตามมาตรา 32 ได้อีกด้วย แต่เมื่อได้ตัวจำเลยมาดำเนินคดีนี้แล้วไม่ปรากฏว่าคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดพิษณุโลกได้ดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ดังกล่าวแต่ประการใด ดังนี้ กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่ามีข้อเท็จจริงปรากฏภายหลังที่ศาลมีคำสั่งตามมาตรา 19 ว่า จำเลยต้องหาหรือถูกดำเนินคดีในความผิดฐานอื่นซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 การที่คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดพิษณุโลก มีคำวินิจฉัยว่า เป็นกรณีที่จำเลยอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานอื่นและเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 ให้แจ้งพนักงานสอบสวนร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งคืนตัวจำเลยไปยังพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป โดยไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าวข้างต้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน