แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลในข้อหาละเมิดและเรียกค่าเสียหาย ระหว่างพิจารณา ศาลแพ่งได้มีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวโดยให้จำเลยที่ 1 จัดการเก็บเงินค่าเช่าอาคาร ร้านค้าและแผงลอยในตลาดของโจทก์แล้วนำเงินมาวางศาลทุกเดือน จำเลยทั้งสามได้เก็บเงินค่าเช่าแผงลอยในตลาดจำนวน 11,565 บาท แล้วไม่นำไปวางศาลตามคำสั่งศาลแพ่งในคดีดังกล่าว แต่เงินค่าเช่าที่จำเลยทั้งสามรับไว้ดังกล่าวยังมิใช่เป็นเงินของโจทก์ ดังนั้นไม่ว่าจำเลยทั้งสามจะได้ร่วมกันเบียดบังเอาเงินที่ได้รับไว้นั้นเป็นของตนโดยทุจริตจริงหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของโจทก์ได้ โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีจำเลยที่ 2เป็นกรรมการผู้จัดการ และจำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างทำหน้าที่เป็นพนักงานเก็บเงินของจำเลยที่ 1 กรณีสืบเนื่องมาจากในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 6566/2540 ของศาลแพ่ง ซึ่งมีโจทก์และจำเลย (ที่ถูกจำเลยที่ 1)เป็นคู่ความกัน ศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา โดยให้จำเลยที่ 1 เก็บเงินค่าเช่าอาคารร้านค้าแผงลอยในตลาดปัฐวิกรณ์ของโจทก์ทำบัญชีการเก็บเงิน พร้อมทั้งส่งเงินที่เก็บได้ไปวางไว้ที่ศาลแพ่ง เพื่อประกันความเสียหายจนกว่าจะเสร็จ คดีดังกล่าว ต่อมาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2541วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันเก็บเงินค่าเช่าจากพ่อค้าแม่ค้าที่เช่าทำการค้าขายในตลาดปัฐวิกรณ์ตามสั่งศาลรวมเป็นเงิน 11,565 บาทจำเลยที่ 1 มีหน้าที่นำเงินจำนวนดังกล่าวไปวางไว้ที่ศาล แต่จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันยักยอกเบียดบังเงินค่าเช่าที่เก็บได้ดังกล่าวไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตนหาได้นำไปวางไว้ที่ศาลตามคำสั่งไม่ เงินจำนวนดังกล่าวนี้ฝ่ายชนะคดีจะเป็นผู้รับไปทั้งหมด การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะหากโจทก์ชนะคดีก็จะไม่ได้รับเงินจำนวนนี้เหตุเกิดที่แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353, 354, 83, 84
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว วินิจฉัยว่า คดีนี้ปรากฏตามทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามได้เก็บเงินค่าเช่าแผงลอยจากพ่อค้าและแม่ค้าบนที่พิพาทจำนวน 11,565 บาท แล้วไม่นำมาวางศาลตามคำสั่งศาลแพ่งเท่านั้น จำเลยทั้งสามมิได้ครอบครองเงินจำนวนดังกล่าวไว้แทนโจทก์คดีนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสามหาเป็นความจริงไม่ คดีโจทก์ไม่มีมูล พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เงินค่าเช่าตามฟ้องมิใช่เป็นเงินของโจทก์แต่จะตกได้แก่คู่ความผู้ชนะคดีในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 6566/2540ของศาลแพ่งเมื่อคดีถึงที่สุด โจทก์ยังมิได้เป็นผู้ชนะคดีจึงมิใช่ผู้เสียหายที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยในผลพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามทางไต่สวนว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีจำเลยที่ 2เป็นกรรมการผู้จัดการและจำเลยที่ 3 เป็นพนักงานเก็บเงินของจำเลยที่ 1ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยที่ 1 ได้เป็นโจทก์ฟ้องบริษัทปัฐวิกรณ์ จำกัด และโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 6566/2540ของศาลแพ่ง ในข้อหาละเมิดและเรียกค่าเสียหาย ระหว่างการพิจารณาศาลแพ่งได้มีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความชั่วคราวโดยให้จำเลยที่ 1จัดการเก็บเงินค่าเช่าอาคาร ร้านค้าและแผงลอยในตลาดปัฐวิกรณ์ของโจทก์แล้วนำเงินมาวางศาลทุกเดือน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2541 จำเลยทั้งสามได้เก็บเงินค่าเช่าแผงลอยจากพ่อค้าและแม่ค้าในตลาดปัฐวิกรณ์จำนวน11,565 บาท แล้วไม่นำไปวางศาลตามคำสั่งศาลแพ่งในคดีแพ่งดังกล่าวโดยขณะเกิดเหตุคดีแพ่งดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่งมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า กรณีมีเหตุสมควรที่จะประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ขณะเกิดเหตุคดีนี้คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 6566/2540 ของศาลแพ่งยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเงินค่าเช่าที่จำเลยทั้งสามรับไว้ตามคำสั่งศาลแพ่งในคดีดังกล่าวจึงยังมิใช่เป็นเงินของโจทก์ ดังนั้นไม่ว่าจำเลยทั้งสามจะได้ร่วมกันเบียดบังเอาเงินที่ได้รับไว้นั้นเป็นของตนโดยทุจริตจริงหรือไม่ ก็ตาม ก็ไม่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของโจทก์ได้ โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องคำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์อ้างมาในฎีกานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน