คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 171/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลาแปดวันนับแต่วันปิดประกาศตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 จัตวา (3) จะต้องมีหลักฐานเบื้องต้นมาแสดงต่อศาลมิใช่กล่าวอ้างขึ้นมาลอย ๆ การเช่าช่วงที่ผู้ร้องอ้างตามคำร้องก็คือการเช่านั่นเอง เมื่อเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ก็ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 ซึ่งจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ แต่ตามคำร้องของผู้ร้องปรากฏชัดว่าผู้ร้องเช่าช่วงตึกแถวพิพาทจากจำเลยโดยไม่มีสัญญาเช่ากับจำเลยหรือโจทก์ใบเสร็จรับเงินเอกสารท้ายคำร้องก็มิใช่หลักฐานการเช่าเพราะมิได้มีลายมือชื่อของโจทก์หรือจำเลยลงไว้ ผู้ร้องจึงไม่อาจยกการเช่าช่วงขึ้นใช้ยันโจทก์ได้ ทั้งนี้ไม่ว่าโจทก์จะรู้เห็นยินยอมด้วยหรือไม่ก็ตาม ทั้งมิใช่เป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าอันไม่จำต้องมีหลักฐานการเช่า เพราะเงินกินเปล่าที่ผู้ร้องอ้างว่าได้เสียไปนั้นมิใช่เงินช่วยค่าก่อสร้างตึกแถวพิพาทกรณีถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจพิเศษตามมาตรา 296 จัตวา(3) ผู้ร้องจึงเป็นบริวารของจำเลย

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกแถวเลขที่ 81/1 หมู่ที่ 6 ถนนเอกชัยแขวงบางบอน เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ของโจทก์และส่งมอบตึกแถวดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์และเรียกค่าเสียหายโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อศาล และศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินพร้อมด้วยบริวารออกไปจากตึกแถวตามฟ้องและส่งมอบคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยภายในวันที่ 30 มิถุนายน2531 ต่อมาจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีเจ้าพนักงานบังคับคดีนำประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีไปปิดไว้ที่ตึกแถวตามฟ้อง ผู้ร้องยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษว่า ผู้ร้องมิใช่บริวารของจำเลยเพราะผู้ร้องและครอบครัวอาศัยอยู่ในตึกแถวพิพาทเลขที่ 81/1 โดยเช่าช่วงจากจำเลย แต่ไม่มีสัญญาเช่ากับจำเลยหรือโจทก์ ผู้ร้องได้เสียเงินกินเปล่าให้แก่จำเลยซึ่งเป็นพี่ชายของผู้ร้อง จำเลยไม่เคยอาศัยอยู่ในตึกแถวพิพาท ผู้ร้องได้ย้ายทะเบียนบ้านเข้ามาอยู่ในตึกแถวพิพาทโดยโจทก์รู้เห็นยินยอมและมอบหมายให้นายแกงลิ้มเก็บค่าเช่าตึกแถวพิพาทเดือนละ 70 บาท โดยออกใบเสร็จรับเงินให้ตลอดมา โจทก์ไม่เคยมีหนังสือบอกกล่าวให้ผู้ร้องออกจากตึกแถวพิพาท โจทก์ฟ้องจำเลยก็โดยอาศัยสัญญาเช่าเดิมที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ ขอให้ยกเลิกการบังคับคดีที่จะบังคับแก่ผู้ร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้ร้องย้ายทะเบียนบ้านเข้าอยู่ในตึกแถวพิพาทประกอบการค้าและอยู่อาศัยพร้อมครอบครัวโดยได้รับความยินยอมจากโจทก์และโจทก์เก็บค่าเช่าตลอดมา ปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 1 ถึง 4 จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าโดยไม่จำต้องทำสัญญาเช่าหรือเช่าช่วงกับโจทก์หรือจำเลยตามกฎหมาย ผู้ร้องจึงมีสิทธิแสดงอำนาจพิเศษว่าผู้ร้องมิใช่บริวารของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา(3) นั้น เมื่อเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแจ้งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าลูกหนี้หรือบริวารยังไม่ออกไปตามคำบังคับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศกำหนดเวลาให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลาแปดวันนับแต่วันปิดประกาศ ถ้าไม่ยื่นภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ฉะนั้นผู้ที่อ้างอำนาจพิเศษดังกล่าวจะต้องมีหลักฐานเบื้องต้นมาแสดงต่อศาล มิใช่กล่าวอ้างขึ้นมาลอย ๆการเช่าช่วงที่ผู้ร้องอ้างตามคำร้องก็คือการเช่านั่นเองเมื่อเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ก็ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 ซึ่งจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ แต่ตามคำร้องของผู้ร้องปรากฏชัดว่าผู้ร้องเช่าช่วงตึกแถวพิพาทจากจำเลยโดยไม่มีสัญญาเช่ากับจำเลยหรือโจทก์ ใบเสร็จรับเงินเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 4 ก็มิใช่หลักฐานการเช่าเพราะมิได้มีลายมือชื่อของโจทก์หรือจำเลยลงไว้ ดังนั้นผู้ร้องจึงไม่อาจยกการเช่าช่วงขึ้นใช้ยันโจทก์ได้ทั้งนี้ไม่ว่าโจทก์จะรู้เห็นยินยอมด้วยหรือไม่ก็ตาม ทั้งมิใช่เป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าอันไม่จำต้องมีหลักฐานการเช่าดังที่ผู้ร้องฎีกา เพราะเงินกินเปล่าที่ผู้ร้องอ้างว่าได้เสียให้ไปนั้นมิใช่เงินช่วยค่าก่อสร้างตึกแถวพิพาท กรณีถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 จัตวา (3) ผู้ร้องจึงเป็นบริวารของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share