แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยตามสัญญากู้ยืม จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้กู้และฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำระเงินที่จำเลยมอบให้โจทก์เป็นค่าติดต่อส่งคนไปทำงานต่างประเทศคืน โดยขอนำเงินดังกล่าวหักออกจากสัญญากู้ยืม ดังนี้ ฟ้องแย้งจึงเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกัน และไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกคืนเงินกู้ 18,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่าไม่เคยกู้เงินและรับเงินจากโจทก์และฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 2 ให้เงินโจทก์เป็นค่าบริการติดต่อส่งคนไปทำงานต่างประเทศจำนวน 25,000 บาท ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 2เตรียมตัวเดินทาง จำเลยที่ 1 จึงกู้เงินจากพี่สาวโจทก์จำนวน8,000 บาท สำหรับติดตัวไปทำงาน โดยลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้ที่มิได้กรอกข้อความ แต่โจทก์ก็จัดการให้จำเลยที่ 2 ไปทำงานต่างประเทศไม่ได้ จำเลยที่ 2 ทวงถามเงินคืนโดยขอหักหนี้จำนวน8,000 บาท ออกด้วย ขอให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 17,000 บาท แก่จำเลยศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การจำเลยทั้งสอง ส่วนฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงไม่รับ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มูลหนี้ตามฟ้องเดิมเป็นเรื่องที่โจทก์เรียกหนี้เงินกู้ตามสัญญายืม ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องกล่าวอ้างว่า โจทก์ไม่อาจปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาต่างตอบแทนที่จะส่งจำเลยไปทำงานในต่างประเทศได้ จึงขอเรียกเงินค่าป่วยการที่จำเลยได้ชำระให้โจทก์ไปก่อนแล้วคืน ดังนี้ข้อเท็จจริงและหลักฐานที่จะนำสืบจึงเห็นได้ชัดว่าเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกัน หาได้มีความเกี่ยวพันกับมูลหนี้เดิมตามฟ้องของโจทก์แต่ประการใดไม่หากความจริงเป็นดังที่จำเลยว่า ก็ชอบที่จำเลยจะนำคดีไปฟ้องเป็นอีกกรณีหนึ่งต่างหาก มิใช่มากล่าวอ้างแล้วตั้งเป็นข้อเรียกร้องรวมมาในคดีนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน