คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1709/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่บริษัทเดินเรือขนสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นมายังท่าเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นท่าเรือปลายทางเป็นการรับขนของทางทะเลซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 609วรรคท้าย บัญญัติให้บังคับตามกฎหมายและกฎข้อบังคับว่าด้วยการนั้น ปัจจุบันกฎหมายและกฎข้อบังคับว่าด้วยการรับขนของทางทะเลของประเทศไทยยังไม่มี ในเรื่องอายุความฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายของสินค้าหรือสิ่งของที่ขนส่งทางทะเล ต้องนำ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา624 ซึ่งเป็นบทบัญญัติในบรรพ 3 ลักษณะ 8 หมวด 1 ว่าด้วยรับขนของอันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งปรับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 4 วรรคสาม.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าบริษัทเหล็กสยาม จำกัด ซื้อสารเคมีทนไฟกันตาไปท์300 เมตริกตัน จากประเทศญี่ปุ่น ผู้ขายได้ว่าจ้างบริษทฟูจิวาราไลน์จำกัด ขนส่งสินค้าดังกล่าวมาทางทะเล เมื่อเรือเข้าเทียบท่าเรือแห่งประเทศไทย ปรากฏว่าถุงบรรจุสินค้าฉีกขาด 20 ถุง ทำให้สินค้าเสียหาย 7,075.53 บาท และคุรุสภาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์6,164 ม้วน จากประเทศญี่ปุ่น และขนสินค้ามาทางเรือเช่นเดียวกันปรากฏว่ากระดาษจำนวน 31 ม้วน เปื้อนน้ำมันและเปียกน้ำและอีกจำนวน 22 ม้วนฉีกขาดเสียหายบางส่วน กับมีสูญหายไป 4 ม้วนคิดเป็นเงิน 117,466.24 บาทแต่ได้ขายซากสินค้าที่เสียหายได้เงิน 52,509.83 บาท จึงเป็นค่าเสียหายที่แท้จริงเพียง 64,956.41บาท นอกจากนั้นบริษทเหล็กสยาม จำกัด ยังได้ซื้อถ่านคาร์บอนโค๊กบรีสจำนวน 200 เมตริกตัน จากประเทศญี่ปุ่น และขนสินค้ามาทางเรือปรากฏว่าสินค้าขาดหายไป 1 ถุง ถุงแตกฉีกขาด 57 ถุง เสียหายเป็นเงิน 46,355.75 บาท สินค้าดังกล่าวทั้งหมดได้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ จำเลยเป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้าย โจทก์ได้ชำระเงินค่าเสียหายตามสัญญาประกันภัยให้บริษัทเหล็กสยาม จำกัด และคุรุสภาไปแล้วจึงรับช่วงสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทฟูจิวาราไลน์ จำกัด และจำเลยขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน118,387.69 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้รับช่วงสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยมิได้ร่วมขนส่งหรือขนส่งทอดสุดท้ายแต่อย่างใด จำเลยเป็นเพียงตัวแทนบริษทฟูจิวาราไลน์ จำกัด ความเสียหายเกิดขึ้นนานกว่า 2 ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 118,387.69 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘พิเคราะห์แล้ว เห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในปัญหาอายุความเสียก่อน การที่บริษัทเดินเรือขนสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นมายังท่าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นท่าเรือปลายทาง เป็นการรับขนของทางทะเลประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 609 วรรคท้าย บัญญัติว่า ‘รับขนของทางทะเล ท่านให้บังคับตามกฎหมายและกฎข้อบังคับว่าด้วยการนั้น ปัจจุบันกฎหมายและกฎข้อบังคับว่าด้วยการรับขนของทางทะเลของประเทศไทยยังไม่มีเห็นว่า ในเรื่องอายุความฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายของสินค้าหรือสิ่งของที่ขนส่งทางทะเลต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 624 ซึ่งเป็นบทบัญญัติในบรรพ 3 ลักษณะ 8 หมวด 1 ว่าด้วยรับขนของอันเป็นกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 4 วรรคสาม มาตรา 624 บัญญัติว่าในข้อความรับผิดของผู้ขนส่งในการที่ของสูญหายหรือบุบสลายหรือส่งชักช้านั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่ส่งมอบหรือปีหนึ่งนับแต่วันที่ควรจะได้ส่งมอบเว้นแต่ในกรณีที่มีการทุจริตปรากฏว่าผู้ซื้อสินค้าตามฟ้องหรือผู้รับตราส่งรับสินค้าไปเมื่อ พ.ศ. 2522 โจทก์ได้รับช่วงสิทธิเรียกร้องมาจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับตราส่งมาฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความสูญหายและบุบสลายของสินค้าตามฟ้องเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2527 คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามมาตรา 624 เมื่อคดีของโจทก์ขาดอายุความซึ่งจะต้องพิพากษายกฟ้องแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยฎีกาของจำเลยในปัญหาอื่น’
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์.

Share