คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1702/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิม ห. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องผู้คัดค้านเป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ห. โดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านยื่นคำให้การและฟ้องแย้งให้ขับไล่ ห. ออกจากที่พิพาท ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ พ.251/2554 ให้ ห. และบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท ในชั้นบังคับคดี ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงอำนาจพิเศษตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 จัตวา โดยอ้างว่าครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทประมาณ 30 ไร่ การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอในคดีนี้ โดยอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทประมาณ 30 ไร่ โดยการครอบครองปรปักษ์ ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันกับคำร้องขอแสดงอำนาจพิเศษที่ผู้ร้องได้ยื่นไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ พ.251/2554 คำร้องขอของผู้ร้องในคดีนี้จึงเป็นการร้องซ้อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5), 246 และมาตรา 247 เมื่อคำร้องขอของผู้ร้องเป็นร้องซ้อนต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวก็ไม่มีคำร้องขอและตัวผู้ร้องที่ผู้คัดค้านจะฟ้องแย้ง ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้งผู้ร้องเช่นกัน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 1658 เลขที่ดิน 582 ตำบลบึงอ้ายเสียบ (คลอง 5 ตก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี (ธัญบุรี) เนื้อที่ทั้งแปลง จำนวน 100 ไร่ เป็นกรรมสิทธิ์ของนางดอกดิน ได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงโอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่องหลายครั้ง เมื่อประมาณปี 2500 นายจอนได้ขายสิทธิการครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1658 บางส่วน เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่เศษ พร้อมส่งมอบที่ดินให้แก่นายนิยม สามีผู้ร้องและผู้ร้อง เพื่อทำประโยชน์ในที่ดินด้วยการทำนา ทำสวน และปลูกบ้านอยู่อย่างถาวร นายนิยม (ถึงแก่กรรมไปแล้ว) และผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่เศษ มาตลอดอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ไม่มีผู้ใดมาโต้แย้งคัดค้าน เป็นเวลาเกินกว่า 50 ปี ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าว เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่เศษ มีอาณาเขตทิศเหนือจดที่ดินของนางจรูญ ทิศใต้จดที่ดินของบริษัทบริหารสินทรัพย์ทวี จำกัด ทิศตะวันออกจดถนนเลียบคลอง 5 (ฝั่งตะวันตก) ทิศตะวันตกจดคลองส่งน้ำสายที่ 6 ขอให้มีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 1658 เลขที่ดิน 582 ตำบลบึงอ้ายเสียบ (คลอง 5 ตก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี (ธัญบุรี) จำนวนเนื้อที่ดินประมาณ 30 ไร่ เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านและฟ้องแย้งว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1658 เลขที่ดิน 582 ตำบลบึงอ้ายเสียบ (คลอง 5 ตก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นที่ดินที่พิพาทนี้ โดยซื้อมาจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนเป็นเงิน 25,000,000 บาท และผู้คัดค้านได้จดทะเบียนสิทธิการโอนโดยสุจริตต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ที่ผู้ร้องอ้างว่ามีกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น เมื่อผู้ร้องยังมิได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน จึงไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับผู้คัดค้านที่ได้กรรมสิทธิ์มาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินได้ ที่ผู้ร้องอ้างว่าได้ซื้อขายสิทธิครอบครองมาจากนายจอน เป็นการซื้อขายสิทธิจากผู้ที่ปราศจากผู้ทรงกรรมสิทธิ์โดยชอบ จึงไม่อาจยกข้อต่อสู้กับผู้คัดค้านได้ ผู้คัดค้านขอฟ้องแย้งว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1658 เลขที่ดิน 582 ตำบลบึงอ้ายเสียบ (คลอง 5 ตก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยการซื้อมาจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นเงินจำนวน 25,000,000 บาท โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนการโอนโดยสุจริตต่อเจ้าพนักงานที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี สาขาคลองหลวง เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2544 ผู้คัดค้านไม่มีความประสงค์จะให้ผู้ร้องอาศัยอยู่บนที่ดินพิพาท ขอให้ยกคำร้องขอของผู้ร้อง ให้ผู้ร้องและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทของผู้คัดค้าน ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 40,000 บาท แก่ผู้คัดค้านนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าผู้ร้องจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำคัดค้าน ส่วนคำฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นเรื่องอ้างว่า ผู้ร้องอยู่ในที่ดินโดยละเมิดขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย จึงเป็นเรื่องอื่น ไม่อาจรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ไม่รับฟ้องแย้ง
ผู้คัดค้านอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องแย้ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน คืนค่าธรรมเนียมศาลในส่วนฟ้องแย้งให้แก่ผู้คัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า ฟ้องแย้งเกี่ยวข้องกับคำร้องขอเดิมหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามคำร้องขอและคำคัดค้านว่า ก่อนที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคดีนี้ เดิมนายแหวน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องผู้คัดค้าน เป็นจำเลย ต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.119/2553 ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแหวนโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านยื่นคำให้การต่อสู้และฟ้องแย้งให้ขับไล่นายแหวนออกจากที่พิพาท ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ พ.251/2554 ว่า ให้นายแหวนและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท ในชั้นบังคับคดี ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงอำนาจพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา โดยอ้างว่าได้ครอบครองปรปักษ์ในที่ดินพิพาทประมาณ 30 ไร่ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราวเพื่อรอฟังผลการพิจารณาในคดีนี้ การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอในคดีนี้ โดยอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทประมาณ 30 ไร่ โดยการครอบครองปรปักษ์ ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันกับคำร้องขอแสดงอำนาจพิเศษที่ผู้ร้องได้ยื่นไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ พ.251/2554 คำร้องขอของผู้ร้องในคดีนี้จึงเป็นการร้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ไม่ชอบที่จะรับคำร้องขอของผู้ร้องไว้พิจารณา ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5), 246 และมาตรา 247 เมื่อคำร้องขอของผู้ร้องเป็นร้องซ้อนต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายแล้ว ก็ไม่มีคำร้องขอและตัวผู้ร้องที่ผู้คัดค้านจะฟ้องแย้งผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้งผู้ร้องเช่นกัน คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้คัดค้านในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องและยกฟ้องแย้งของผู้คัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งในส่วนคำร้องขอและฟ้องแย้งทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share