คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1702/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์นั่ง ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะเจ้าของรถยนต์บรรทุกและเป็นนายจ้างของ ส. และฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุก โดยมิได้ฟ้อง ส. คนขับรถยนต์บรรทุกผู้กระทำละเมิด ต่อมาในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์เพิ่งเทราบว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด ค. เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกและเป็นนายจ้างของ ส. จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกห้างหุ้นส่วนจำกัด ค. เข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยอ้างว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ดังนี้ จำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องเดิมกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ค. ไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน รูปคดีเป็นเรื่องฟ้องผิดตัว โจทก์จะขอให้ศาลหมายเรียกห้างหุ้นส่วนจำกัด ค. เข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 (3) หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์นั่งหมายเลขทะเบียน ก.ท. ธ – ๔๔๖๕ จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ช.บ. ๓๖๕๑๕ และเป็นนายจ้างของนายสมบูรณ์ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๑ ขณะเกิดเหตุนายสมบูรณ์ผู้ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๑ จอดทางซ้ายของถนนบนผิงจราจรโดยไม่จุดโคมไฟหรือสัญญาณไฟไว้ที่ท้ายรถบรรทุกดังกล่าว เพื่อให้รถที่ขับมาข้างหลังเห็นได้ในระยะไกล เป็นเหตุให้นายสมชัย ขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้มาชนท้ายรถยนต์บรรทุก โจทก์ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้วจึงเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ รับผิดในฐานะเป็นนายจ้าง และให้จำเลยที่ ๒ รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ไม่ได้เป็นว่าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกตามฟ้อง และไม่ได้เป็นนายจ้างนายสมบูรณ์ รถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัด ค้าไม่พานทองพานิช
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
วันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องว่าเพิ่งทราบว่าขณะเกิดเหตุรถยนต์บรรทุกอยู่ในความครอบครองของห้างหุ้นส่วนจำกัดค้าไม้พานทองพานิช ซึ่งต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขอให้ศาลเรียกห้างหุ้นส่วนจำกัดค้างไม้พานทองพานิชเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงให้เรียกห้างหุ้นส่วนจำกัดค้าไม้พานทองพานิชเข้ามาเป็นจำเลยร่วม
ห้างหุ้นส่วนจำกัดค้าไม้พานทองพานิช ให้การว่าคำฟ้องโจทก์ไม่เกี่ยวพันถึงจำเลยร่วม จึงเคลือบคลุม การที่โจทก์เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีเป็นการไม่ชอบ และต่อสู้ในข้ออื่นอีกหลายประการ
ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๑
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องผิดตัวจะเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีไม่ได้ พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยร่วมด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การที่ศาลจะเรียกบุคคลภายนอก ซึ่งมิใช่คู่ความเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้นั้น อาจกระทำได้โดยคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคำขอโดยทำเป็นคำร้องแสดงเหตุว่าตนอาจฟ้องหรือถูกคู่ความเช่นว่านั้นฟ้องตนได้ เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทน ถ้าหากศาลพิจารณาให้คู่ความเช่นว่านั้นแพ้คดี หรือในกรณีที่กฎหมายบังคับให้บุคคลภายนอกเข้ามาในคดี หรือศาลเห็นจำเป็นที่จะเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมทั้งนี้ตามบทบัญญัติ มาตรา ๕๗ (๓) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง สำหรับคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องนายสมบูรณ์ผู้กระทำละเมิด แต่ฟ้องจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นายจ้าง ครั้งทราบว่านายสมบูรณ์ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ แต่เป็นลูกจ้างของห้างหุ้นส่วนจำกัดค้าไม้พานทองพานิช จึงยื่นคำร้องขอให้เรียกห้างหุ้นส่วนจำกัดค้าไม้พานทองพานิชเข้ามาเป็นจำเลยร่วม เมื่อศาลอนุญาตแล้ว โจทก์ก็ถอนฟ้องจำเลยที่ ๑ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๑ ตามคำฟ้องเดิมกับห้างหุ้นส่วนจำกัดค้าไม้พานทองพานิชจำเลยร่วมไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันแต่อย่างใด รูปคดีเป็นเรื่องฟ้องผิดตัว โจทก์ชอบที่จะยื่นฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดค้าไม้พานทองพานิชเป็นคดีใหม่ จำขอให้ศาลหมายเรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความแพ่งมาตรา ๕๗ (๓) หาได้ไม่เพราะกรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าว
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share