แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขายที่ดินและโรงเรือนให้แก่ญาติกันโดยตกลงกันด้วยปากเปล่า ก่อนทำหนังสือสัญญาซื้อขายว่า ภายใน 10 ปีผู้ซื้อยอมให้ผู้ขายมีสิทธิไถ่คืนได้ถือว่าการตกลงด้วยปากเปล่าดังกล่าวนี้ เมื่อมิได้ทำเป็นหนังสือจดทะเบียนแล้ว ข้อตกลงเช่นนี้ก็สูญเปล่าไม่มีผลบังคับแก่กันได้สัญญาซื้อขายที่ทำกันในภายหลังนั้น จึงสำเร็จเด็ดขาดไป แต่เมื่อปรากฏว่าต่อมาอีก 2 ปีเศษ ผู้ซื้อกับผู้ขายได้ทำหนังสือสัญญากันอีกให้คำมั่นสัญญาว่า ที่ดินและโรงเรือนรายนี้จะไม่ขายคนอื่นและภายใน 10 ปีนับแต่วันซื้อขาย ผู้ขายมีเงินจะซื้อกลับ ผู้ซื้อยินยอมขายกลับให้ ตามราคาซื้อพร้อมทั้งดอกเบี้ยตามกฎหมายนับแต่วันเซ็นสัญญาดังนี้ ก็ย่อมถือได้ว่าเป็นคำมั่นจะขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคสองผู้ขายเดิมจึงมีสิทธิจะฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาใหม่นี้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอไถ่ที่ดินและโรงเรือนจากจำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ผิดสัญญาเอง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยขายบ้านพิพาทตามสัญญาซื้อขายหมาย ล.1 และ จ.1 คืนให้โจทก์ ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ได้ความว่า เมื่อ พ.ศ. 2492 โจทก์ได้ขายที่ดินและโรงเรือนพิพาทให้แก่จำเลยเป็นเงิน 30,000 บาท ทำสัญญาซื้อขายกัน ณ ที่ว่าการอำเภอตามหนังสือหมาย ล.1 ก่อนทำหนังสือกับโจทก์จำเลยตกลงกันด้วยปากว่าภายใน 10 ปี ยอมให้โจทก์มีสิทธิไถ่คืนได้ ต่อมาเมื่อทำหนังสือซื้อขายหมาย ล.1 แล้ว โจทก์จำเลยได้ทำสัญญากันอีกฉบับหนึ่ง ตามความที่ตกลงกันไว้ก่อนทำเอกสารหมายล.1 นั้น ต่อมาหนังสือฉบับนี้หายไป โจทก์จำเลยจึงทำหนังสือกันอีกฉบับหนึ่ง คือเอกสารหมาย จ.1 ฯลฯ
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์จำเลยตกลงกันด้วยปากก่อนการทำหนังสือสัญญาซื้อขายหมาย ล.1 ว่า ภายใน 10 ปี ยอมให้โจทก์มีสิทธิไถ่คืนได้นั้น ลักษณะเป็นทำนองขายฝาก แต่การตกลงกันทั้งนี้เพียงแต่พูดกันด้วยปากเปล่า ข้อตกลงเช่นว่านี้ จึงสูญเปล่า ไม่มีผลอันจะบังคับแก่กันได้ สัญญาซื้อขายหมาย ล.1 จึงสำเร็จเด็ดขาดไป โดยไม่มีภาระอื่นผูกพัน แต่หลังจากการขายกันไปแล้ว 2 ปีเศษ จำเลยกลับไปทำหนังสือสัญญาให้โจทก์อีกฉบับหนึ่ง คือเอกสารหมาย จ.1 ให้คำมั่นสัญญาว่า ที่ดินและโรงเรือนรายนี้จะไม่ขายให้คนอื่นและภายใน 10 ปีนับแต่วันทำสัญญาซื้อขาย โจทก์มีเงินจะซื้อกลับจำเลยยินยอมขายกลับให้ตามราคาซื้อที่ระบุในข้อ 1 คือ 30,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยตามกฎหมาย ดังนี้ สัญญาฉบับนี้จึงเป็นคำมั่นจะขายและได้ทำกันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรค 2 โจทก์จึงมีสิทธิที่จะฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาได้
จึงพิพากษายืน