คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสี่กับ ร. และ ส. ไม่ปรากฏว่าก่อนและขณะเกิดเหตุผู้เสียหายทั้งสี่แสดงกิริยาหรือวาจาอันเป็นเหตุให้จำเลยโกรธเคืองหรือไม่พอใจผู้เสียหายทั้งสี่และได้ความจากผู้เสียหายทั้งสี่ด้วยว่าไม่เคยมีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยอีกทั้งสภาพบริเวณเกิดเหตุที่ผู้เสียหายทั้งสี่นั่งล้อมวงคุยกันเป็นทุ่งนาโล่งกว้างต่ำกว่าจุดที่จำเลยอยู่และใกล้วิถีกระสุนปืนซึ่งง่ายต่อการถูกกระสุนปืนที่จำเลยยิงมาอยู่มากแต่กระสุนปืนที่จำเลยยิงไป1นัดก็ไม่ถูกผู้ใดและไม่ปรากฏร่องรอยกระสุนปืนที่พื้นดินบริเวณนั้นด้วยนอกจากนี้ยังคงมีกระสุนปืนเหลืออยู่ในแม็กกาซีนถึง7นัดในสภาพพร้อมยิงได้ทันทีแต่จำเลยไม่ได้ใช้ยิงเลยโดยไม่ปรากฏสิ่งใดขัดขวางประกอบกับเหตุเกิดกระทันหันในเวลากลางคืนโดยจำเลยใช้อาวุธปืนสั้นยิงออกไปคนละทางกับ ร.ผู้ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวตัดหน้ารถจำเลยซึ่งก่อเหตุการณ์ให้จำเลยยิงปืนโอกาสที่พยานจะไม่ทันสังเกตว่าจำเลยจ้องปืนไปทางใดย่อมมีอยู่มากพฤติการณ์ที่กล่าวมาแสดงว่าจำเลยใช้ปืนยิงไปคนละทางกับผู้เสียหายทั้งสี่โดย ไม่มี เจตนายิงประทุษร้ายไปทางผู้เสียหายทั้งสี่ซึ่งเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ว่าจำเลยยิงปืนขึ้นฟ้า พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยฐาน พยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสี่

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ วันที่ 7 มกราคม 2536 เวลา กลางคืน หลัง เที่ยงจำเลย ได้ กระทำ ความผิด ต่อ กฎหมาย หลายกรรม ต่างกัน กล่าว คือ จำเลยพา อาวุธปืน สั้น ออโต เมติ กขนาด 9 มม. หมายเลข ทะเบียน สฎ 17/17ของ จำเลย ที่ ได้รับ ใบอนุญาต ให้ มี และ ใช้ จาก นายทะเบียน จำนวน 1 กระบอกพร้อม กระสุนปืน ขนาด 9 มม. จำนวน 8 นัด ติดตัว ไป ใน เมือง หมู่บ้านทางสาธารณะ บริเวณ ถนน ท่าเรือทรัพย์ทวี ตำบล ท่าเรือ อำเภอ บ้านนาเดิม จังหวัด สุราษฎร์ธานี โดย ไม่ได้ รับ ใบอนุญาต ให้ มี อาวุธปืน ติดตัว ทั้ง ไม่มี เหตุจำเป็น และ เร่งด่วน ตาม สมควร แก่พฤติการณ์ และ จำเลย ได้ ใช้ อาวุธปืน ดังกล่าว ยิง นาย วิจิตร หนูสุข กับพวก รวม 4 คน ผู้เสียหาย จำนวน 1 นัด โดย มี เจตนาฆ่า ผู้เสียหายทั้ง สี่ ให้ ถึงแก่ความตาย จำเลย ลงมือ กระทำ ความผิด ไป โดย ตลอด แล้วแต่ ไม่บรรลุผล เนื่องจาก กระสุนปืน ไม่ ถูก ผู้เสียหาย ทั้ง สี่ ผู้เสียหายทั้ง สี่ จึง ไม่ถึง แก่ ความตาย สม ดัง เจตนา ของ จำเลย เหตุ เกิด ที่ตำบล ท่าเรือ และตำบลทรัพย์ทวี อำเภอบ้านนาเดิม จังหวัด สุราษฎร์ธานี เกี่ยวพัน กัน เจ้าพนักงาน ยึด ได้ ปลอก กระสุนปืนจำนวน 1 ปลอก จาก บริเวณ ที่เกิดเหตุ และ จับ จำเลย ได้ พร้อม ด้วยอาวุธปืน และ กระสุนปืน ขนาด 9 มม. จำนวน 7 นัด ซอง กระสุนปืน 1 ซองซอง พก 1 ซอง ที่ จำเลย พกพา และ ใช้ ใน การกระทำ ความผิด เป็น ของกลางขอให้ ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288พระราชบัญญัติ อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและ สิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ , 72 ทวิ และ ริบของกลาง ทั้งหมด
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบ มาตรา 80 พระราชบัญญัติ อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และ สิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง , 72 วรรคสาม ฐาน พยายามฆ่าผู้อื่น ลงโทษ จำคุก10 ปี ฐาน พา อาวุธปืน โดย ไม่ได้ รับ อนุญาต จำคุก 1 ปี เป็น ความผิดหลายกรรม ต่างกัน ให้ เรียง กระทง ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91รวม จำคุก 11 ปี ทางนำสืบ ของ จำเลย เป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณา อยู่ บ้างมีเหตุ บรรเทา โทษ ลดโทษ ให้ หนึ่ง ใน สี่ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คง จำคุก 7 ปี 15 เดือน ของกลาง ทั้งหมด เป็น ทรัพย์ ที่ ใช้ ใน การกระทำความผิด จึง ให้ริบ
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษาแก้ เป็น ว่า จำเลย มี ความผิด ตามพระราชบัญญัติ อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและ สิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง ,72 ทวิ วรรคสอง จำคุก 1 ปี และ ปรับ 2,000 บาท ลดโทษ หนึ่ง ใน สี่ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คง จำคุก 9 เดือน และ ปรับ 1,500 บาทโทษ จำคุก ให้ รอการลงโทษ ไว้ มี กำหนด 2 ปี ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ไม่ชำระ ค่าปรับ จัดการ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ข้อหา อื่น ให้ยก นอกจาก ที่ แก้ ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “ทางพิจารณา โจทก์ นำสืบ ว่า เมื่อ วันที่7 มกราคม 2536 เวลา ประมาณ 20 นาฬิกา นาย วิจิตร หนูสุข นาย เคล้า สุขมาศ นายจีระวัฒน์ จามิกร นายยุทธศักดิ์ หนูสุข ซึ่ง เป็น ผู้เสียหาย ทั้ง สี่ พร้อม ด้วย นาย สมพร หนูสุข และ นาง ริญญา สุขมาศ ช่วย กัน หา มโค นาย เคล้า ขึ้น รถ เสร็จ แล้ว ผู้เสียหาย ทั้ง สี่ พา กัน ไป นั่ง คุย กัน อยู่ ที่ บน คัน คลอง ลำพูน ห่าง จาก หัว สะพาน ข้าม คลอง ประมาณ 10 เมตร ส่วน นาง ริญญา จะ เลี้ยว รถจักรยานยนต์ เพื่อ ขับ กลับ บ้าน ทันใดนั้น จำเลย ขับ รถจักรยานยนต์ ผ่าน มารถจักรยานยนต์ ของ นาง ริญญา จึง ตัด หน้า รถจักรยานยนต์ ของ จำเลย จำเลย พูดจา ต่อว่า นาง ริญญา จาก นั้น ก็ ขับ รถจักรยานยนต์ ไป จอด บน หัว สะพาน แล้ว ลง จาก รถ พร้อม ทั้ง ชัก อาวุธปืน สั้น ขนาด 9 มม. ออก มา แล้วพูด ว่า “พวก มึง ใหญ่ มาก นะ” แล้ว ยิง เข้า ไป ใน กลุ่ม ผู้เสียหาย ทั้ง สี่จำนวน 1 นัด แต่ กระสุนปืน ไม่ ถูก ผู้ใด จาก นั้น จำเลย ขับ รถจักรยานยนต์หลบหนี ไป จ่าสิบตำรวจ สมหมาย แซ่ลิ้ม ได้รับ แจ้งเหตุ แล้ว ก็ ติดตาม จับกุม จำเลย ได้ บน ถนน ห่าง ที่เกิดเหตุ ประมาณ 1 กิโลเมตร ทำการ ตรวจค้นจำเลย ยึด ได้ อาวุธปืน สั้น ขนาด 9 มม. พร้อม กระสุนปืน บรรจุ อยู่ ในแม็กกา ซีนอีก 7 นัด เป็น ของกลาง พนักงานสอบสวน และ จ่าสิบตำรวจ สมหมาย ร่วมกัน ตรวจ สภาพ อาวุธปืน และ เครื่องกระสุนปืน ของกลาง แล้ว ปรากฏว่า ใช้ ยิง ได้ ตาม บันทึก การ ตรวจ สภาพ อาวุธปืน และ เครื่องกระสุนปืนของกลาง เอกสาร หมาย จ. 3 ชั้น จับกุม และ สอบสวน จำเลย ให้การ ปฏิเสธตาม บันทึก การ จับกุม และ บันทึก คำให้การ ของ ผู้ต้องหา เอกสาร หมาย จ. 1และ จ. 4 อาวุธปืน ของกลาง ของ จำเลย ได้รับ ใบอนุญาต ให้ มี และ ใช้ ตามสำเนา ใบอนุญาต ให้ มี และ ใช้ อาวุธปืน เอกสาร หมาย จ. 7
จำเลย นำสืบ ว่า จำเลย เป็น ผู้ช่วย ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 3 ตำบล ทรัพย์ทวี ตาม วัน เวลา เกิดเหตุ จำเลย ขับ รถจักรยานยนต์ กลับ จาก ประชุม ที่ บ้าน นาย สมบัติ เมืองพร้อม ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 2 ตำบล ท่าเรือ ขณะ ขับ ไป ใกล้ จะ ถึง สะพาน ข้าม คลอง ลำพูน เห็น รถยนต์กระบะ 2 คัน จอด อยู่ ริมถนน ด้านซ้าย และ มี รถจักรยานยนต์ คัน หนึ่ง แล่น ตัด หน้า กระชั้นชิดจึง ร้อง ถาม ว่า ทำไม ขับ อย่าง นี้ แล้ว จำเลย ขับ รถจักรยานยนต์ ไป จอดบน สะพาน ข้าม คลอง ลำพูน มี เสียง ด่า จำเลย มาจาก กลุ่ม คน ที่นั่ง อยู่ บริเวณ คัน คู ข้าง สะพาน จำเลย ร้อง ถาม ว่า เป็น ใคร แต่ ไม่มี เสียง ตอบจำเลย จึง ชักปืน ยิง ขู่ ขึ้น ฟ้า จำนวน 1 นัด แล้ว จำเลย ขับ รถ ไป หานาย วิสุทธิ์ ที่ บ้าน และ เล่าเรื่อง ให้ ฟัง ระหว่าง นั้น มี เจ้าพนักงาน ตำรวจ ไป เชิญ ตัว จำเลย มา พบ กับ นาย วิจิตร และ พวก ที่ ป้อม ยาม เพื่อ ให้ รอ มชอม กัน แต่ นาย วิจิตร กับพวก ไม่ยอม เจ้าพนักงาน ตำรวจ จึง พา จำเลย ไป ที่ สถาน ตำรวจ ภูธร อำเภอ ท่าเรือ แล้ว แจ้ง ข้อหา ว่า พยายามฆ่า นาย วิจิตร ชั้นสอบสวน จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริง รับฟัง ได้ ใน เบื้องต้น ว่า ตาม วัน เวลาและ สถานที่เกิดเหตุ จำเลย ขับ รถจักรยานยนต์ มา ตาม ถนน ใกล้ จะ ถึง สะพานข้าม คลอง ลำพูน โดย พกพา อาวุธปืน สั้น ออโต เมติ กขนาด 9 มม.มี หมายเลข ทะเบียน ของ จำเลย ที่ ได้รับ อนุญาต ให้ มี และ ใช้ จาก เจ้าพนักงานพร้อม กระสุนปืน ขนาด เดียว กัน จำนวน 8 นัด ติดตัว ไป โดย ไม่ได้ รับ อนุญาตขณะ เดียว กัน มี นาย วิจิตร หนูสุข นาย เคล้า สุขมาศ นาย จีระวัฒน์ จามิกร และนายยุทธศักดิ์ หนูสุข ผู้เสียหาย ทั้ง สี่ นั่ง กัน อยู่ บน คัน คลอง ห่าง จาก หัว สะพาน ข้าม คลอง ลำพูน ประมาณ 10 เมตร ทันใดนั้น นาง ริญญา สุขมาศ พวก ของ ผู้เสียหาย ทั้ง สี่ ขับ รถจักรยานยนต์ เลี้ยว ตัด หน้า รถจักรยานยนต์ ที่ จำเลย ขับ มา จำเลยก็ ขับ รถจักรยานยนต์ ไป จอด ที่ บริเวณ หัว สะพาน แล้ว ใช้ อาวุธปืน ที่ พกพามา ยิง ออก ไป 1 นัด ต่อมา เวลา ใกล้เคียง กัน เจ้าพนักงาน ตำรวจ ได้รับแจ้งเหตุ ติดตาม จับกุม จำเลย ได้ และ ยึด ได้ อาวุธปืน ดังกล่าว พร้อมกระสุนปืน ที่ บรรจุ อยู่ ใน แม็กกา ซีนจำนวน 7 นัด เป็น ของกลาง อาวุธปืนและ กระสุนปืน ของกลาง เป็น อาวุธปืน และ กระสุนปืน ที่ ใช้ ยิง ได้ปัญหา ต้อง วินิจฉัย ตาม ฎีกา ของ โจทก์ มี ข้อ เดียว ว่า จำเลย กระทำผิดฐาน พยายามฆ่า ผู้เสียหาย ทั้ง สี่ หรือไม่ โจทก์ มี ผู้เสียหาย ทั้ง สี่นาง ริญญา สุขมาศ และ นาย สมพร หนูสุข เป็น ประจักษ์พยาน เบิกความ ทำนอง เดียว กัน ว่า ขณะ ผู้เสียหาย ทั้ง สี่ นั่ง ล้อม วง คุย กัน บน คัน คลองห่าง จาก หัว สะพาน ข้าม คลอง ลำพูน ประมาณ 10 เมตร นาง ริญญา ขับ รถจักรยานยนต์ เลี้ยว ตัด หน้า รถจักรยานยนต์ ที่ จำเลย ขับ มา จำเลย พูดจาต่อว่า นาง ริญญา แล้ว ขับ รถจักรยานยนต์ ไป จอด ที่ หัว สะพาน จาก นั้น จำเลย ก็ ชัก อาวุธปืน สั้น ของกลาง ยิง มา 1 นัด แล้ว ขับ รถจักรยานยนต์หลบหนี ไป พยาน ดังกล่าว ทุก ปาก เว้นแต่ นาย เคล้า ปาก เดียว เบิกความ ยืนยัน ว่า ขณะ จำเลย ยิง ปืน จำเลย เล็ง ปืน มา ทาง ผู้เสียหาย ทั้ง สี่และ ได้ความ จาก คำเบิกความ ของ นาย จิระวัฒน์ ตอบ ทนายจำเลย ถาม ค้าน ว่า จำเลย จอดรถ ห่าง รถ ของ นาง ริญญา ประมาณ 4 เมตร เห็นว่า คำเบิกความ ของ พยาน ทั้ง หก ไม่ปรากฏ ว่า ก่อน และ ขณะ เกิดเหตุ ผู้เสียหาย ทั้ง สี่แสดง กิริยา หรือ วาจา ประการใด อัน จะ เป็นเหตุ ให้ จำเลย โกรธเคืองหรือไม่ พอใจ ผู้เสียหาย ทั้ง สี่ กลับ ปรากฏ ชัดแจ้ง ว่า จำเลย โกรธเคืองนาง ริญญา ที่ ขับ รถจักรยานยนต์ เลี้ยว ตัด หน้า รถ จำเลย จน ถึง ขนาด จำเลย พูดจา ต่อว่า นาง ริญญา หาก จำเลย ประสงค์ จะ ใช้ อาวุธปืน ยิง ประทุษร้าย ผู้ใด ใน ขณะ นั้น ก็ น่า จะ ยิง นาง ริญญา ผู้ก่อเหตุ การณ์ และ อยู่ เผชิญหน้า กัน ใน ระยะ เพียง ประมาณ 4 เมตร ส่วน ผู้เสียหาย ทั้ง สี่ซึ่ง อยู่ ไกล ออก ไป ก็ ได้ความ จาก คำเบิกความ ของ ผู้เสียหาย ทั้ง สี่ทำนอง เดียว กัน ว่า ไม่เคย มีเหตุ โกรธเคือง กับ จำเลย จึง ไม่มี เหตุชักจูง ใจ ให้ จำเลย ประสงค์ จะ ใช้ อาวุธปืน ยิง ประทุษร้าย ผู้เสียหายทั้ง สี่ หาก จำเลย ประสงค์ จะ ใช้ ปืน ยิง ประทุษร้าย ผู้เสียหาย ทั้ง สี่ก็ ได้ความ จาก คำเบิกความ ของ นาย วิจิตร นายจีระวัฒน์ นายเคล้า ผู้เสียหาย ตรง กัน ว่า จุด ที่ จำเลย ใช้ ปืน ยิง ห่าง ผู้เสียหาย ที่นั่งคุย กัน ประมาณ 10 เมตร และ ได้ความ จาก คำเบิกความ ของ นาย วิจิตร กับ คำเบิกความ ตอบ ทนายจำเลย ถาม ค้าน ของ นาย ยุทธศักดิ์ ทำนอง เดียว กัน ว่า บริเวณ เกิดเหตุ เป็น ทุ่งนา โล่ง กว้าง ทั้ง ได้ความ จาก คำเบิกความของ นาย วิจิตร ตอบ ทนายจำเลย ถาม ค้าน ว่า คัน คลอง ที่ ผู้เสียหาย ทั้ง สี่ นั่ง คุย กัน อยู่ ต่ำกว่า ระดับ ถนน ประมาณ 1 เมตร และ ได้ความ จากคำเบิกความ ของ นาย เคล้า ตอบ ทนายจำเลย ถาม ค้าน ว่า พวก ผู้เสียหาย นั่ง คุย กัน ใน ลักษณะ วงกลม จาก สภาพ ที่ ผู้เสียหาย ทั้ง สี่ นั่ง ล้อม วงกลาง ทุ่งนา โล่ง แจ้ง ต่ำกว่า จุด ที่ จำเลย อยู่ บน ถนน ถึง 1 เมตร และห่าง จำเลย เพียง 10 เมตร เช่นนี้ หาก จำเลย เล็ง ปืน ยิง มา ทาง ผู้เสียหายทั้ง สี่ ก็ ย่อม เห็น ได้ว่า ผู้เสียหาย ทั้ง สี่ ตกเป็น เป้า ใหญ่ ใกล้วิถีกระสุน ปืน ซึ่ง ง่าย ต่อ การ ถูก กระสุนปืน ที่ จำเลย ยิง มา อยู่ มากหรือ พื้นดิน ใกล้ กัน น่า จะ ถูก กระสุน บ้าง แต่ ข้อเท็จจริง ก็ ฟัง เป็น ยุติว่า กระสุนปืน ที่ จำเลย ยิง ออก ไป ไม่ ถูก ผู้ใด และ ไม่ปรากฏ ร่องรอยกระสุนปืน ที่ พื้นดิน บริเวณ นั้น แต่อย่างใด นอกจาก นี้ ข้อเท็จจริงยัง ฟังได้ ว่า อาวุธปืน ที่ จำเลย ใช้ ยิง เป็น ปืนสั้น ออโต เมติ กมี กระสุนปืนบรรจุ อยู่ ใน แมกกา ซีน 8 นัด จำเลย ยิง ออก ไป เพียง 1 นัด ยัง คงเหลือกระสุนปืน อยู่ ใน แม็กกา ซีนถึง 7 นัด และ เป็น อาวุธปืน และ กระสุนปืนที่ ใช้ ยิง ได้ ซึ่ง เห็น ได้ว่า เป็น อาวุธปืน และ กระสุนปืน ที่อยู่ ในสภาพ พร้อม ยิง ทำร้าย ผู้อื่น ได้ ทันที ตาม จำนวน กระสุนปืน ใน แม็กกา ซีนที่ เหลือ อยู่ แต่ ข้อเท็จจริง ก็ ฟัง เป็น ยุติ ว่า กระสุนปืน ที่ เหลือ อยู่ใน แม็กกา ซีนถึง 7 นัด นั้น จำเลย ไม่ได้ ใช้ ยิง เลย โดย ไม่ปรากฏ สิ่ง ใดขัดขวาง หาก จำเลย ประสงค์ จะ ใช้ ปืน ยิง ทำร้าย ผู้ใด ก็ น่า จะ ยิง ไป บ้างนอกจาก นี้ เหตุ เกิด กระ ทัน หัน ใน เวลา กลางคืน โดย จำเลย ใช้ อาวุธปืน สั้นยิง ออก ไป คน ละ ทาง กับ นาง ริญญา ผู้ก่อเหตุ การณ์ ให้ จำเลย ยิง ปืน โอกาส ที่ พยาน จะ ไม่ ทัน สังเกต ว่า จำเลย จ้อง ปืน ไป ทาง ใด ย่อม มี อยู่ มากดัง จะ เห็น ได้ว่า ใน ตอน จำเลย ต่อว่า นาง ริญญา แล้ว ชักปืน ยิง นั้น นาง ริญญา กับ นาย สมพร เบิกความ ตรง กัน ว่า นาง ริญญา ไม่ได้ พูด อะไร แต่ นาย ยุทธศักดิ์ เบิกความ ว่า นาง ริญญา ตอบ ว่า จะ ตบ เรื่อง อะไร นาง ริญญา ไม่ได้ ทำ ผิด และ ใน ตอน จำเลย จ้อง ปืน ยิง นั้น นาย เคล้า เบิกความ ตอบ ทนายจำเลย ถาม ค้าน ว่า ไม่เห็น ขณะ จำเลย ยิง คน ที่ เห็นขณะ ยิง คือ นาง ริญญา นาย จีระวัฒน์ นายยุทธศักดิ์ และนายสมพร เบิกความ ทำนอง เดียว กัน ว่า จำเลย นั่ง คร่อม รถจักรยานยนต์ ใช้ ปืน ยิงไม่ได้ ลง จาก รถ แต่ นาย วิจิตร เบิกความ ว่า จำเลย ลง จาก รถ แล้ว ใช้ ปืน ยิง ตาม พฤติการณ์ ดังกล่าว มา แสดง ให้ เห็นว่า จำเลย ใช้ ปืน ยิง ไป คน ละ ทาง กับผู้เสียหาย ทั้ง สี่ โดย ไม่มี เจตนา ที่ จะ ยิง ประทุษร้าย ไป ทาง ผู้เสียหายทั้ง สี่ แต่อย่างใด ซึ่ง ความ ข้อ นี้ เจือสม กับ คำเบิกความ ของ จำเลย ที่ ว่าจำเลย ยิง ปืน ขึ้น ฟ้า 1 นัด พยานหลักฐาน โจทก์ ไม่พอ ฟัง ลงโทษ จำเลยฐาน พยายามฆ่า ผู้เสียหาย ทั้ง สี่ ที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายก ฟ้องใน ข้อหา ความผิด ฐาน พยายามฆ่า ผู้เสียหาย ทั้ง สี่ นั้น ต้องด้วย ความเห็นของ ศาลฎีกา ฎีกา ของ โจทก์ ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share