คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1697/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ลักษณะบาดแผลตามคำเบิกความของจำเลยในชั้นพิจารณาจะต่างกับรายงานผลการชันสูตรบาดแผลของแพทย์ แต่ได้ความว่าผู้เสียหายและ ข. ได้บุกรุกขึ้นมาบนบ้านจำเลย ผู้เสียหายได้กระทำอนาจาร ส.ส. ร้องให้จำเลยช่วยเหลือพอจำเลยลุกขึ้นจากที่นอนก็ถูก ข.ใช้ขวดสุราตีจนจำเลยล้มลงไปอีก จำเลยจึงใช้ขวานฟันไปทันที 1 ครั้ง ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการป้องกันตนและบุตรสาวของตนให้พ้นจากภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายพอสมควรแก่เหตุ ทั้งมิใช่เป็นเรื่องบันดาลโทสะ เพราะขณะที่จำเลยได้กระทำลงไปนั้นจำเลยก็ดีบุตรสาวของจำเลยก็ดี ยังไม่พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการกระทำของผู้เสียหายและ ข..

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 288ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 ลงโทษจำคุก 10 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนและนำสืบบางส่วนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ คืนของกลางให้แก่เจ้าของ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า คำให้การรับสารภาพของผู้เสียหายและนายขันโท จันทรา ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 595/2532 เป็นไปเพราะความเข้าใจผิด และเพื่อให้เรื่องแล้วเสร็จไป จึงฟังไม่ได้ว่าบุคคลทั้งสองบุกรุกขึ้นไปบนบ้านของจำเลยและลวนลามทำอนาจารบุตรสาวของจำเลยนั้นในปัญหาข้อนี้ผู้เสียหายได้เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยตอนหนึ่งว่า ผู้เสียหายเคยถูกจำเลยฟ้องคดีอาญาในข้อหาบุกรุกเข้าไปในบ้านของจำเลย คดีดังกล่าวผู้เสียหายได้ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกผู้เสียหายมีกำหนด 1 เดือน ซึ่งตามฟ้องคดีดังกล่าวได้ระบุว่าผู้เสียหายบุกรุกเข้าไปในบ้านจำเลยในเวลากลางคืน และทำการลวนลามบุตรสาวจำเลย ที่ผู้เสียหายให้การรับสารภาพต่อศาลชั้นต้นนั้น ผู้เสียหายได้ให้การไปตามความเป็นจริง นอกจากนี้ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีดังกล่าวแล้ว ผู้เสียหายก็ดี นายขันโทก็ดีต่างมิได้อุทธรณ์หรือฎีกาแต่อย่างใด คดีดังกล่าวจึงถึงที่สุดไปแล้วตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ดังนั้น โจทก์จะมาฎีกาโต้เถียงว่าผู้เสียหายและนายขันโทกระทำไปโดยสำคัญผิดอีกหาได้ไม่ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์ฎีกาอีกว่า แม้จะฟังข้อเท็จจริงว่าผู้เสียหายบุกรุกขึ้นไปบนบ้านของจำเลยและกระทำอนาจารบุตรสาวของจำเลย แต่จำเลยได้เบิกความในศาลว่า หลังจากจำเลยถูกตีที่ชายโครงจนรู้สึกเจ็บและล้มลงแล้ว จำเลยควานหาอาวุธที่หัวนอนได้ขวานมา 1 เล่ม จึงฟันแว้งไป1 ครั้ง ขวานที่ฟันถูกใครไม่ทราบ แต่ตามรายงานผลการชันสูตรบาดแผลของแพทย์ เอกสารหมาย จ.1 ผู้เสียหายมีบาดแผลอันเกิดจากการถูกของมีคมที่ศีรษะด้านบนแถบซ้าย ลักษณะบาดแผลเป็นการฟันจากที่สูงสู่ที่ต่ำหาใช่เป็นการแว้งไปในลักษณะนอนฟันหรือนั่งฟันดังที่จำเลยต่อสู้มาไม่ คำให้การของจำเลยและพยานจำเลยจึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้กระทำไปเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ พิเคราะห์แล้ว ได้ความจากคำเบิกความของจำเลย นางบุญเหลือ ศรียาจันทร์ นางสาวสำราญศรียาจันทร์ ภริยาและบุตรสาวของจำเลยว่าผู้เสียหายและนายขันโทพวกของผู้เสียหายได้บุกรุกขึ้นมาบนบ้านจำเลย ผู้เสียหายได้กระทำอนาจารโดยจับมือถือแขนและกอดรัดนางสาวสำราญ นางสาวสำราญร้องให้จำเลยช่วยเหลือ พอจำเลยลุกขึ้นจากที่นอนก็ถูกนายขันโทใช้ขวดสุราตีจนจำเลยล้มลงไปอีก จำเลยจึงใช้ขวานฟันไปทันที 1 ครั้ง ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการป้องกันตนและบุตรสาวของตนให้พ้นจากภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายพอสมควรแก่เหตุส่วนการที่จำเลยจะนั่งฟัน นอนฟัน หรือยืนฟันนั้นไม่ใช่ข้อสาระสำคัญแต่อย่างใด และไม่อาจทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไปได้ทั้งมิใช่เป็นเรื่องบันดาลโทสะดังที่โจทก์ฎีกา เพราะขณะที่จำเลยได้กระทำลงไปนั้นจำเลยก็ดี บุตรสาวของจำเลยก็ดี ยังไม่พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการกระทำของผู้เสียหายและนายขันโทพวกของผู้เสียหาย…”
พิพากษายืน.

Share