คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1697/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากผู้สลักหลังโดยไม่สุจริต จึงไม่มีสิทธิจะเรียกเงินตามเช็คพิพาทจากผู้สั่งจ่าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันสั่งจ่ายเช็คสหธนาคารกรุงเทพ เงิน 300,000 บาท โดยประทับตราจำเลยที่ 1 ไว้ด้วยนายสุไลมานสลักหลังเช็คนี้ส่งมอบให้โจทก์ๆจึงเป็นผู้ทรง โจทก์นำเช็คไปฝากเข้าบัญชีโจทก์ที่ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงเทพเรียกเก็บเงินจากสหธนาคาร ฯ สหธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระหนี้จำนวนเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย 22,500 บาท และดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง

จำเลยที่ 1, 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 2 สมคบกับโจทก์นำเอาเช็คของจำเลยที่ 1 มาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เพราะโจทก์ทราบแต่วันแจ้งว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจสั่งจ่ายเช็คของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เพียงมีหน้าที่เซ็นชื่อร่วมกับจำเลยที่ 3 ประทับตราจำเลยที่ 1 นอกจากนี้จำเลยที่ 2 เอาเช็คพิพาทไปโอนให้โจทก์ด้วยวิธียืมมือนายสุไลมานเป็นผู้รับเช็คจากจำเลยที่ 2แล้วนายสุไลมานส่งมอบเช็คแก่โจทก์ โดยมิได้มีการกู้ยืมกันจริง แต่เป็นการคบคิดกันฉ้อฉลเพื่อเรียกร้องเอาเงินจากจำเลยที่ 3 โจทก์และนายสุไลมานได้เช็คพิพาทมาโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินตามเช็คพิพาท ฯลฯ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงิน 322,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง ฯลฯ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงิน 322,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง ฯลฯ

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คฉบับหนึ่งในบรรดาเช็คที่จำเลยที่ 3 ได้เซ็นชื่อไว้ล่วงหน้า โจทก์และนายสุไลมานทราบดีว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่มีเงินทุนในการดำเนินกิจการ ไม่น่าเชื่อว่านายสุไลมานจะเสี่ยงสลักหลังเช็คยอมผูกพันตนให้ต้องรับผิด และโจทก์เองก็ไม่น่าจะให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงิน การแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ก็มีเหตุชวนสงสัยและเป็นพิรุธ ทั้งบริษัทจำเลยที่ 1 ก็เลิกกิจการตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2511 แต่โจทก์ได้รับเช็คมาหลังจากเลิกกิจการประมาณ 3 เดือน จึงไม่เชื่อว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทจากนายสุไลมานโดยสุจริต โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะเรียกเงินตามเช็คพิพาทได้

พิพากษายืน

Share