แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมโจทก์ฟ้องบริษัท ต. เป็นจำเลยที่ 1 และจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 เรียกค่าเสียหายฐานละเมิดโดยอ้างเหตุว่าลูกจ้างของจำเลยทั้งสองต่างขับรถยนต์ชนกันโดยประมาทเป็นเหตุให้สามีของโจทก์ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 พิพากษายกฟ้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2 แต่ประการใด ส่วนจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ฎีกาต่อมาศาลฎีกาวินิจฉัยว่าลูกจ้างของจำเลยทั้งสองต่างประมาทด้วยกัน ให้จำเลยที่ 1 รับผิดเพียงครึ่งหนึ่งของค่าเสียหายทั้งหมด โจทก์จึงกลับมาฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้อีกเพื่อให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายอีกครึ่งหนึ่ง ดังนี้ เมื่อโจทก์จำเลยในคดีนี้กับโจทก์และจำเลยที่ 2 ในคดีเดิมเป็นคู่ความเดียวกัน ประเด็นที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้กับประเด็นในคดีเดิมก็มาจากมูลกรณีละเมิดอันเดียวกัน ทั้งคดีเดิมศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์ฟ้องบริษัทตระการพืชผลเดินรถ ๒๕๑๐ จำกัด ในฐานะนายจ้างของนายสีใสเป็นจำเลยที่ ๑ และฟ้องจำเลยนี้ในฐานะนายจ้างของนายณรงค์ศักดิ์เป็นจำเลยที่ ๒ เรียกค่าเสียหายฐานะละเมิด เนื่องจากลูกจ้างของจำเลยทั้งสองขับรถยนต์ชนกันโดยประมาทเป็นเหตุให้นายจันทร์สามีโจทก์กระเด็นตกจากรถยนต์ถึงแก่ความตาย ปรากฏตามคดีแพ่งของศาลจังหวัดอุบลราชธานี หมายเลขแดงที่ ๒๔๗/๒๕๒๐ คดีแพ่งดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียวรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์ ๑๐๙,๖๐๐ บาท ส่วนจำเลยที่ ๒ พิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ มิได้ประมาท ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาว่าเหตุละเมิดรายนี้คนขับรถของจำเลยที่ ๒ มีส่วนก่อขึ้นด้วย สมควรให้จำเลยที่ ๑ รับผิดเพียงครึ่งหนึ่งคิดเป็นเงิน ๕๔,๘๐๐ บาท โดยศาลฎีกาให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้เงินให้โจทก์เพียงคนเดียวเพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษาศาลชั้นต้นสำหรับจำเลยที่ ๒ ด้วยเหตุที่ยังไม่รู้แน่นอนว่าลูกจ้างจำเลยที่ ๒ มีส่วนทำละเมิดด้วย จำเลยที่ ๒ ในคดีดังกล่าวซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้จึงมีส่วนรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์ ๕๔,๘๐๐ บาท ในเหตุละเมิดดังกล่าวด้วย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงิน ๕๔,๘๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องในมูลคดีเดียวกันนี้ โจทก์เคยฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดอุบลราชธานีมาแล้วครั้งหนึ่ง และศาลพิพากษาให้จำเลยชนะคดี ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๔๗/๒๕๒๐ คดีดังกล่าวได้ถึงที่สุดเฉพาะจำเลยโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้อีกในมูลคดีและในประเด็นเดียวกันจึงเป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกันคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๔๗/๒๕๒๐ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเดิมโจทก์ฟ้องบริษัทตระการพืชผลเดินรถ ๒๕๑๐ จำกัด และจำเลยในคดีนี้เป็นจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เรียกค่าเสียหายฐานะละเมิดโดยอ้างเหตุว่าลูกจ้างของจำเลยทั้งสองต่างได้ขับรถยนต์ชนกันโดยประมาทเป็นเหตุให้นายจันทร์สามีของโจทก์ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียวรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๑๐๙,๖๐๐ บาท ส่วนจำเลยที่ ๒ พิพากษายกฟ้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ ๒ แต่ประการใด ส่วนจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์และฎีกาต่อมา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ และลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ต่างก็ประมาทเลินเล่อด้วยกัน จึงเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยที่ ๑ รับผิดเพียงครึ่งหนึ่งของค่าเสียหายทั้งหมดคิดเป็นเงิน ๕๔,๘๐๐ บาท โจทก์จึงกลับมาฟ้องจำเลยที่ ๒ เป็นคดีนี้อีกเพื่อให้จำเลยที่ ๒ รับผิดชดใช้ค่าเสียหายอีกครึ่งหนึ่งจำนวน ๕๔,๘๐๐ บาท แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ บัญญัติว่า คดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว ห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์จำเลยในคดีนี้กับโจทก์และจำเลยที่ ๒ ในคดีเดิมเป็นคู่ความเดียวกันและประเด็นที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้กับประเด็นในคดีเดิมก็มาจากมูลกรณีละเมิดอันเดียวกันทั้งคดีเดิมศาลก็ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘
พิพากษายืน