แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทำสัญญากู้เงินกัน ผู้กู้ยอมให้ผู้ให้กู้เข้ามาทำการค้าขายในร้าน ซึ่งผู้กู้ได้เช่าอยู่ก่อนนั้นตลอดไปหรือจนกว่าผู้ให้กู้จะออกไป และเมื่อผู้ให้กู้ไปจากร้านนี้เมื่อใด ผู้กู้จะส่งเงินที่กู้ไปให้แก่ผู้ให้กู้ครบจำนวนที่กู้ทันที ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทน ตราบใดที่สัญญานี้ยังไม่เลิก และผู้ให้กู้ไม่ได้ทำผิดสัญญาแล้ว ผู้กู้ก็ไม่มีเหตุอะไรจะฟ้องขับไล่ผู้ให้กู้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าที่โจทก์เช่ามาโดยอ้างว่า ให้จำเลยอาศัยชั่วคราว
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์กู้เงินจำเลย 2,000 บาทแล้วยอมให้จำเลยกับครอบครัวเข้ามาอยู่ในห้องเช่ารายนี้ได้ตลอดไปโดยจำเลยตกลงไม่คิดเอาดอกเบี้ย และยอมเสียค่าเช่าห้องอีกเดือนละ 20 บาท จำเลยถือว่า จำเลยเป็นผู้เช่าช่วงห้องรายนี้จากโจทก์แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนห้องให้โจทก์ และให้จำเลยออกไปเสียจากห้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เช่าห้องพิพาทจากแผนกผลประโยชน์วัดเขาบางทราย ใช้เป็นที่อยู่อาศัยและทำการค้าตั้งชื่อร้านว่า เสริมไทย แล้วโจทก์ทำสัญญากู้เงินนางสมวรรณจำเลย 2,000 บาท สัญญาข้อ 2 มีว่า “ผู้กู้สัญญาว่า จะนำเงินที่กู้มาชำระจนครบถ้วนภายในไม่เกินวันที่ 1 มกราคม 2493 ส่วนดอกเบี้ยจะชำระให้ชั่งละ 1 บาท ภายในวันที่ครบอายุสัญญา”ข้อ 3 ว่า “ผู้ให้กู้สัญญาว่าจะยอมให้ผู้ให้กู้ เข้ามาทำการค้าขายในร้านเสริมไทย ซึ่งข้าพเจ้าได้เช่าอยู่ก่อนนั้นตลอดไป หรือจนกว่าผู้ให้กู้จะออกไปและขอให้สัญญาว่า เมื่อผู้ให้กู้ออกจากร้านเสริมไทยเมื่อใด ข้าพเจ้าจะส่งเงินที่กู้ให้แก่ผู้ให้กู้เป็นจำนวนเงิน 2,000 บาททันที…” ขณะทำหนังสือกู้นายเที่ยงยังคงอยู่ในห้องรายนี้ ต่อมานายเที่ยงออกไปจำเลยเข้าอยู่อาศัย และทำการค้าในนามร้านเสริมไทยและเป็นผู้เสียค่าเช่าให้แก่วัดเขาบางทรายแต่โจทก์ยังคงเสียภาษีป้ายและร้านค้า บัดนี้โจทก์ต้องการเช่าคืนจำเลยไม่ยอมคืนให้โจทก์จึงมาฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเช่าอยู่ในห้องรายพิพาทโดยมีสัญญาต่างตอบแทนดังกล่าวแล้ว ไม่ใช่เรื่องอาศัยดังโจทก์ฟ้อง ตราบใดที่สัญญานี้ยังไม่เลิกและจำเลยก็ไม่ได้ทำผิดสัญญา ก็ไม่มีเหตุอะไรที่จะฟ้องขับไล่
จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามศาลชั้นต้น