คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1005/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ที่ขายทรัพย์สินที่มีหลักฐานทางทะเบียน ซึ่งเงินที่ได้จากการขายนั้นมีจำนวนตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป แม้การได้ทรัพย์สินนั้นมาและขายไปนั้นมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดไว้โดยอนุมัติรัฐมนตรีกล่าวคือต้องแสดงรายการตามที่กำหนดไว้ในข้อ 14 แห่งแบบ ภ.ง.ด. 9 มิฉะนั้นจะไม่ได้รับยกเว้นให้ไม่ต้องนำเงินได้จากการขายทรัพย์สินนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 16/2514)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าพนักงานประเมิน อยู่ในบังคับบัญชาของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๓ เป็นประธานกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ เป็นกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์มิได้มีเงินได้จากการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอันต้องเสียภาษี จำเลยที่ ๑ มีหนังสือแจ้งประเมินภาษีเงินได้ถึงโจทก์ให้เสียเงินภาษีและเงินเพิ่ม โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อจำเลยที่ ๒, ๓, ๔, ๕ ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ว่าการประเมินถูกต้องแล้ว แต่มีเหตุผลควรผ่อนผัน จึงให้งดเรียกเก็บเงินเพิ่ม คงเก็บแต่ภาษี จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามที่จำเลยประเมินและเรียกเก็บให้ปลดภาระการเสียภาษีที่จะต้องเสียตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้และคำวินิจฉัยตามสำเนาท้ายฟ้อง ให้ยกคำวินิจฉัยของจำเลยที่ ๓, ๔, ๕ เสีย
จำเลยให้การต่อสู้ว่า การประเมินภาษีถูกต้องแล้ว คำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการฯ ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า บิดาโจทก์เช่าที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ ๑๗๔๓ ของมิซซังโรมันคาทอลิค ปลูกบ้านให้โจทก์อยู่อาศัยแล้วใช้ที่ดินที่เหลือปลูกตึกแถวและโกดังเก็บของให้คนเช่าสิ่งปลูกสร้างในที่ดินที่เช่ายังเป็นของบิดาโจทก์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ มิซซังโรมันคาทอลิคต้องการขายที่ดินเพื่อนำเงินไปสร้างวัดฟาติมาจึงแจ้งให้บิดาโจทก์ทราบและให้โอกาสซื้อที่ดินก่อนคนอื่นถ้าไม่ซื้อก็จะขายให้คนอื่น และจะให้บิดาโจทก์รื้อสิ่งปลูกสร้างออกไป สิ่งที่ปลูกสร้างไว้ได้ลงทุนเป็นเงิน ๗๒๐,๐๐๐ บาท ถ้ารื้อจะเสียหายประมาณ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ บิดาโจทก์มีเงินไม่พอซื้อเพราะที่ดินนี้จะขายเป็นราคาถึง ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์จึงไปชวนนายประสิทธิ์ จึงสง่า มาซื้อแบ่งกันคนละครึ่ง แต่พอถึงกำหนดชำระเงินงวดที่สองนายประสิทธิ์ก็ไม่มีเงินจึงไม่ซื้อ โจทก์ต้องไปกู้เงินมาชำระเงินงวดที่สอง และเมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้เช่าตึกแถวจนชนะคดีแล้วโจทก์จึงได้ขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ผู้อื่นไปรวม ๓ รายเฉพาะราคาที่ดินโจทก์ขายได้ราคาเท่าที่ซื้อมา เห็นว่า โจทก์ตกลงซื้อที่ดินจากมิซซังโรมันคาทอลิคก็เนื่องด้วยความจำเป็น เพราะมีสิ่งปลูกสร้างของบิดาโจทก์อยู่ในที่ดิน ถ้าโจทก์ไม่ซื้อ คนอื่นซื้อไป โจทก์ก็จะต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเป็นการเสียหาย และที่โจทก์ต้องแบ่งที่ดินขายก็เนื่องจากต้องขวนขวายหาเงินมาชำระค่าที่ดินที่โจทก์มีอยู่ไม่พอ เพราะนายประสิทธิ์ผู้ร่วมจะแบ่งซื้อด้วยได้ถอนตัวไป จึงเห็นว่าโจทก์ซื้อและขายที่ดินไปโดยไม่ได้มุ่งในการค้าหรือหากำไร
ประมวลรัษฎากร มาตรา ๔๒ ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตรา ๑๖ บัญญัติว่าเงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ฯลฯ (๙) การขายทรัพย์สินอันเป็นมรดกหรือการขายทรัพย์สินซึ่งทรัพย์สินนั้นได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด โดยอนุมัติรัฐมนตรีและอธิบดีกรมสรรพากรโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ประกาศกำหนดระเบียบ (ณ วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๔๙๗) ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๔๒(๙) ว่า “ผู้มีเงินได้พึงประเมินประเภทการขายทรัพย์สิน ซึ่งทรัพย์สินนั้นได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร อันได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นั้นถ้าเป็นการขายทรัพย์สินที่มีหลักฐานทางทะเบียนและจำนวนเงินที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินนั้นในปีที่ล่วงมาแล้ว มีจำนวนรวมกันตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐ บาท ขึ้นไป ให้แสดงรายการตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๔แห่งแบบ ภ.ง.ด. ๙ ฯลฯ” ข้อเท็จจริงคดีนี้ฟังได้ว่าโจทก์ขายทรัพย์สินที่มีหลักฐานทางทะเบียน จำนวนเงินที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินมีจำนวนตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป โจทก์มิได้แสดงรายการตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๔ แห่งแบบ ภ.ง.ด. ๙ เมื่อโจทก์มิได้ปฏิบัติตามระเบียบที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี โดยไม่ได้กรอกรายการขายทรัพย์สินในแบบ ภ.ง.ด. ๙ ข้อ ๑๔ เพื่อขอยกเว้นภาษี โจทก์จึงไม่ได้รับยกเว้น
พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องโจทก์

Share