คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1696/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนังสือสัญญาใช้ชื่อว่า หนังสือสัญญาขายโดยมีเงื่อนไข คู่สัญญา ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า’เจ้าของ’ อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า’ผู้จะซื้อ’ มีข้อความว่าตกลงจะซื้อขายโทรทัศน์สีตามราคาที่กำหนด ชำระเงินในวันทำสัญญาจำนวนหนึ่ง ที่เหลือผ่อนชำระเป็นงวด และกำหนดเงื่อนไขไว้ว่า กรรมสิทธิ์ในโทรทัศน์สีจะตกแก่ผู้จะซื้อ เมื่อผู้จะซื้อปฏิบัติตามข้อสัญญาทั้งหมด รวมทั้งได้ชำระเงิน ครบถ้วนแล้ว มีลักษณะเป็น ทำนองเจ้าของเอาโทรทัศน์สี ออกให้เช่า และให้คำมั่นว่าจะให้โทรทัศน์สีตกเป็นสิทธิแก่ผู้จะซื้อ โดยเงื่อนไขที่ ผู้จะซื้อได้ชำระเงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว และมี ข้อสัญญาที่มีผลเท่ากับให้ผู้จะซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ด้วยการไม่ชำระราคาต่อไปโดยส่งมอบทรัพย์สินคืนแก่เจ้าของ กับ ให้ริบเงินที่ได้ใช้มาแล้วได้ด้วย อันเป็นวิธีการของสัญญาเช่าซื้อ ข้อสัญญาที่ว่าให้ผู้จะซื้อชำระเงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว ครบถ้วนแล้ว จึงให้กรรมสิทธิ์ตกเป็น ของผู้จะซื้อมิใช่เป็นเพียงเงื่อนไข การโอนกรรมสิทธิ์เท่านั้น สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาเช่าซื้อ
สัญญาเช่าซื้อที่มิได้ปิดอากรแสตมป์จะใช้เป็นหลักฐานฟ้อง คดีมิได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะซื้อโทรทัศน์สี ๑ เครื่องไปจากโจทก์ราคา ๒๗,๐๐๐ บาท ชำระเงินในวันทำสัญญา ๖,๗๒๐ บาท ราคาที่เหลือผ่อนชำระเป็นงวด งวดละเดือน เดือนละ ๘๔๕ บาท รวม ๒๔ งวด เมื่อจำเลยชำระค่าจะซื้อให้โจทก์ครบแล้ว โจทก์จึงจะโอนกรรมสิทธิ์ให้ หากจำเลยผิดนัดไม่ชำระราคางวดใดงวดหนึ่งถือว่าสัญญายกเลิกทันทีบรรดาเงินที่ได้ชำระให้โจทก์แล้วจะต้องถูกริบ และโจทก์มีสิทธิเข้ายึดถือครอบครองโทรทัศน์ที่จะซื้อขายทัน ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระราคาให้โจทก์ โจทก์ติดตามโทรทัศน์คืน แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยส่งมอบโทรทัศน์คืนให้แก่โจทก์ หากไม่สามารถส่งคืนได้ก็ให้ชดใช้เงิน ๑๐,๑๔๐ บาท และเรียกค่าเสียหายพร้อมกับดอกเบี้ย นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบหรือชดใช้ราคา
จำเลยให้การว่า สัญญาพิพาทเป็นสัญญาเช่าซื้อ เมื่อไม่ปิดอากรแสตมป์จึงใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานคู่ความแถลงขอให้ศาลวินิจฉัยว่า สัญญาฉบับพิพาทซึ่งมิได้ปิดอากรแสตมป์มีผลใช้บังคับได้หรือไม่ และสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาซื้อขายโดยมีเงื่อนไข คู่ความแถลงไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาท้ายฟ้องเป็นสัญญาเช่าซื้อซึ่งต้องปิดอากรแสตมป์ เมื่อไม่ปิดอากรแสตมป์จึงไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้และไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนังสือสัญญาฉบับพิพาทกำหนดราคาโทรทัศน์สีที่ตกลงจะซื้อขายกันเป็นเงิน ๒๗,๐๐๐ บาท ชำระเงินในวันทำสัญญา ๖,๗๒๐ บาทที่เหลือผ่อนชำระเป็น ๒๔ งวด งวดละ ๘๔๕ บาท และกำหนดเงื่อนไขในข้อ ๔ ว่ากรรมสิทธิ์ในโทรทัศน์สีดังกล่าวจะตกแก่ผู้จะซื้อเมื่อผู้จะซื้อปฏิบัติตามข้อสัญญาทั้งหมดแล้ว ซึ่งหมายถึงได้ชำระเงินตามที่กำหนดไว้ครบถ้วนแล้วด้วย เห็นว่ามีลักษณะเป็นทำนองที่โจทก์เอาโทรทัศน์สีออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะให้โทรทัศน์สีนั้นตกเป็นสิทธิแก่จำเลย โดยเงื่อนไขที่จำเลยได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราวตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๒ นอกจากนั้นตามสัญญาข้อ ๕ ที่ระบุไว้ว่า ถ้าผู้จะซื้อผิดนัดไม่ชำระราคางวดใดงวดหนึ่ง ให้ถือว่าสัญญาเป็นอันยกเลิก บรรดาเงินที่ได้ชำระแก่เจ้าของแล้วให้ริบเป็นของเจ้าของทั้งสิ้น และผู้จะซื้อยินยอมให้เจ้าของหรือตัวแทนเข้ายึดถือครอบครองทรัพย์สินที่จะซื้อคืนในสภาพเรียบร้อยทันที ถ้าเจ้าของต้องเสียค่าติดตามทรัพย์สินที่จะซื้อผู้จะซื้อต้องชดใช้คืนให้นั้น ย่อมมีผลเท่ากับให้จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ด้วยการไม่ผ่อนชำระราคาต่อไป แต่ต้องส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเองและเมื่อมีการเลิกสัญญาในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงิน ให้ริบบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วเป็นของเจ้าของทรัพย์ อันเป็นวิธีการของสัญญาเช่าซื้อตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๓ และมาตรา ๕๗๔ ดังนี้สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาเช่าซื้อ ข้อสัญญาที่ว่าให้ผู้จะซื้อชำระเงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราวครบถ้วนแล้วจึงให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกเป็นของผู้จะซื้อหาใช่เป็นเพียงเงื่อนไขการโอนกรรมสิทธิ์ของสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขไม่ สัญญาเช่าซื้อเมื่อมิได้ปิดอากรแสตมป์จึงใช่เป็นหลักฐานฟ้องคดีมิได้
พิพากษายืน

Share