คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า ล. สละมรดกส่วนของตนให้แก่โจทก์เท่านั้น คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องการแบ่งปันมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1750 การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกมาตรา 1750 ขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ
บันทึกคำให้การของศาลชั้นต้นที่ ล. ตอบทนายโจทก์ซักถามว่า “ที่ดินส่วนที่เหลือเป็นสิทธิของข้าฯ ที่จะได้ 5 ไร่ นั้น ข้าฯ ได้ยกให้เป็นของโจทก์แล้ว ข้าฯ ไม่ติดใจที่จะเรียกร้องอีก” ข้อความดังกล่าวไม่ใช่การสละมรดก เพราะการสละมรดกตามความหมายใน ป.พ.พ. มาตรา 1612 ต้องเป็นการสละส่วนของตนโดยไม่เจาะจงว่าจะให้แก่ทายาทคนใด ทั้งบันทึกคำให้การฉบับดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาของ ล. ฝ่ายเดียว ถือไม่ได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1612 โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินมรดกส่วนของ ล.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2474 และเลขที่ 34447 ตำบลดูน อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ เนื้อที่ 10 ไร่ 32 ตารางวา และเนื้อที่ 5 ไร่ ตามลำดับ เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสามเกี่ยวข้อง ให้จำเลยทั้งสามพร้อมบริวารออกจากที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยทั้งสามไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในโฉนดทั้งสองแปลงเป็นชื่อโจทก์ หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม มิฉะนั้นให้โจทก์มีสิทธินำที่ดินดังกล่าวขายทอดตลาดนำเงินไปชำระแก่โจทก์ และมีคำสั่งกำจัดจำเลยที่ 1 มิให้ได้มรดกรายนี้โดยให้ตกแก่โจทก์ผู้เดียว
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2474 และเลขที่ 34447 สองในสามส่วนของแต่ละแปลง ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันจดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ตามส่วนที่โจทก์มีสิทธิข้างต้น หากไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดแล้วเอาเงินที่ขายได้แบ่งแก่โจทก์ตามส่วนดังกล่าว ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังว่า โจทก์ นายล้อมและจำเลยที่ 1 เป็นบุตรของนายลุนและนางไข่ ที่ดินพิพาทเป็นของนางไข่ เมื่อปี 2476 นางไข่ถึงแก่ความตาย และปี 2495 นายลุนถึงแก่ความตาย ต่อมาปี 2508 นางล้อมแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่ที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และปี 2512 โจทก์รับราชการเป็นครูและย้ายไปประจำอยู่ที่บ้านผักขะย่าใหญ่ ตำบลโพธิ์ อำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท เมื่อปี 2522 ทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1888 ตำบลดูน อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ในที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ตามคำขอของจำเลยที่ 1 ต่อมาปี 2533 สำนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ สาขากันทรารมย์ ได้เปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ดังกล่าวเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 2474 ให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อปี 2538 จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาททางด้านทิศเหนือ เนื้อที่ 6 ไร่ ในราคา 3,300,000 บาท แล้วแบ่งเงินให้แก่โจทก์กับนายล้อมคนละ 1,100,000 บาท จากนั้นจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2474 ส่วนที่เหลือเนื้อที่ 15 ไร่ 32 ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 2 จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาท เนื้อที่ 5 ไร่ เป็นโฉนดเลขที่ 34447 โอนให้แก่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1
ปัญหาว่าที่โจทก์ขอให้พิพากษาตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทสองในสามส่วนของแต่ละแปลง โดยศาลชั้นต้นเห็นว่าบันทึกคำให้การของนายล้อม ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2541 มีผลผูกพันนายล้อม เนื่องจากมีลักษณะเป็นการประนีประนอมยอมความระหว่างทายาทผู้มีสิทธิ จึงมีผลบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 850, 852 และมาตรา 1750 ทำให้ที่ดินพิพาทส่วนของนายล้อมตกแก่โจทก์นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่านายล้อมสละมรดกส่วนของตนให้แก่โจทก์เท่านั้น คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องการแบ่งปันมรดกตามมาตรา 1750 การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกมาตรา 1750 ขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ
บันทึกคำให้การที่ศาลชั้นต้นอ้างดังกล่าว นายล้อมตอบทนายโจทก์ซักถามว่า “ที่ดินส่วนที่เหลือที่เป็นสิทธิ์ของข้าฯ ที่จะได้ 5 ไร่ นั้น ข้าฯ ได้ยกให้เป็นของโจทก์แล้ว ข้าฯ ไม่ติดใจที่จะเรียกร้องอีก” ข้อความดังกล่าวไม่ใช่การสละมรดก เพราะการสละมรดกตามความหมายใน ป.พ.พ. มาตรา 1612 ต้องเป็นการสละส่วนของตนโดยไม่เจาะจงว่าจะให้แก่ทายาทคนใด ทั้งบันทึกคำให้การฉบับดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาของนายล้อมฝ่ายเดียว ถือไม่ได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1612 โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินมรดกส่วนของนายล้อม
พิพากษากลับเป็นว่า โจทก์มีสิทธิในที่ดินโฉนดเลขที่ 2474 และเลขที่ 34447 หนึ่งในสามส่วนของแต่ละแปลง ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันจดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ตามส่วนที่โจทก์มีสิทธิ สำหรับการแบ่งที่ดินนั้นให้เป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1364 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share