คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเข้าไปไถพูนดินและปลูกต้นมะพร้าวในบริเวณที่น้ำท่วมถึงอันเป็นหนองน้ำสาธารณะซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และยังคงอยู่ในที่ไม่ยอมรื้อถอนต้นมะพร้าวเมื่อนายอำเภอแจ้งให้ออก เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคสอง ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ข้อ 11 แต่จะลงโทษจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365 หาได้ไม่ เพราะบทบัญญัติดังกล่าวมุ่งประสงค์ลงโทษผู้บุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น ไม่ใช่ลงโทษผู้บุกรุกที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ทั้งการกระทำของจำเลยเป็นเพียงเข้าไปถือเอาประโยชน์ในที่สาธารณประโยชน์ไม่ได้ประสงค์จะเข้าไปทำให้ที่นั้นเสื่อมค่าหรือไร้ประโยชน์ จึงลงโทษจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 ไม่ได้อีกเช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙, ๑๐๘ ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๙๖ ข้อ ๑๑ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๓๖๐, ๓๖๒, ๓๖๕ และให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินซึ่งเข้าไปยึดถือครอบครองด้วย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๑๐๘ ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๓๖๐, ๓๖๒, ๓๖๕ ซึ่งเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๖๐, ๓๖๕ จำคุกคนละ ๑ ปี ๖ เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกคนละ ๑ ปี ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินซึ่งเข้าไปยึดถือครอบครอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไว้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเข้าไปไถพูนดิน และปลูกต้นมะพร้าวประมาณ ๘๐ ต้น ในที่เกิดเหตุ เนื้อที่ประมาณ ๗๐ ไร่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองขาดเจตนาบุกรุกที่เกิดเหตุ โดยที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยว่าที่เกิดเหตุเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้เสียก่อน โจทก์มีนายดำเนิน เกียรติดำรง ผู้ใหญ่บ้าน นายสุจินต์ จันทร์เพ็ญ ป่าไม้อำเภอถลาง นายกิตติ เวสนุสิทธิ์ ประมงอำเภอถลาง นายธวัชชัย หองมั่ง ปลัดอำเภอถลาง นายเกรียงศักดิ์ พงษานุกูลเวช ช่างรังวัด สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต จ่าสิบตำรวจมนัส ฝ้ายเพชร เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้จับกุมจำเลยทั้งสอง และร้อยตำรวจโทสมยศ สีหาบัว พนักงานสอบสวนคดีนี้ มาเป็นพยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า บริเวณที่เกิดเหตุน้ำท่วมถึงและเป็นหนองน้ำ ซึ่งตามข้อนี้จำเลยทั้งสองก็เบิกความเจือสมว่า ที่เกิดเหตุบางฤดูน้ำท่วมถึง ทั้งยังได้ความจากทั้งพยานโจทก์และพยานจำเลยว่า การที่จำเลยทั้งสองนำต้นมะพร้าวมาปลูกในที่เกิดเหตุนั้นต้องพูนดินให้สูงขึ้น มิฉะนั้นต้นมะพร้าวจะตายเพราะถูกน้ำท่วม ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ที่เกิดเหตุน้ำท่วมถึงและเป็นหนองน้ำนอกจากนี้ยังได้ความจากนายดำเนิน นายกิตติ และนายธวัชชัยพยานโจทก์อีกด้วยว่าหนองน้ำที่เกิดเหตุเป็นที่สำหรับเพาะพันธุ์ปลาของทางราชการ ประกอบกับจำเลยที่ ๑ ได้รับกับคณะทำงานหรือคณะกรรมการที่ทางอำเภอถลางตั้งขึ้นตามบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.๑ กับยังรับสารภาพในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การผู้ต้องหา เอกสารหมาย จ.๑๓ ว่า ที่เกิดเหตุเป็นหนองน้ำสาธารณะ จึงฟังได้ว่าหนองน้ำที่เกิดเหตุเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ ส่วนที่จำเลยที่ ๑ อ้างว่าที่ลงชื่อในบันทึกเอกสารหมาย จ.๑ กับที่ให้การรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวน เพราะถูกขู่ว่าจะต้องติดคุกนั้น ฟังไม่ขึ้นเพราะปรากฎว่าจำเลยที่ ๒ ซึ่งไปพบกับคณะทำงานหรือคณะกรรมการและถูกจับกุมสอบสนพร้อมกับจำเลยที่ ๑ มิได้ลงชื่อในบันทึกเอกสารหมาย จ.๑ และจำเลยที่ ๒ ก็ยังได้ให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวนอีกด้วย
ปัญหาว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนาบุกรุกที่เกิดเหตุหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากพยานโจทก์และจำเลยว่า เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๒๘ คณะทำงานหรือคณะกรรมการที่ทางอำเภอถลาง+ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองออกไปจากที่เกิดเหตุซึ่งเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว ดังปรากฎเอกสารหมาย จ.๑ แต่จำเลยทั้งสองก็ยังไม่ยอมออกไป ต่อมาวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๒๘ นายประวิทย์ สีห์โสภา นายอำเภอถลางก็ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสองออกไปจากที่เกิดเหตุอีกตามเอกสารหมาย จ.๔ แต่จำเลยทั้งสองก็ยังคงไม่ยอมออกไปอีกเช่นกัน การที่จำเลยทั้งสองยังคงอยู่ในที่เกิดเหตุซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยไม่ยอมรื้อถอนต้นมะพร้าว ที่จำเลยทั้งสองไถพูนดินขึ้นนำมาปลูกไว้เช่นนี้ จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๑๐๘ ทวิ วรรคสอง ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๙๖ ข้อ ๑๑ ส่วนความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๕ นั้น เมื่อได้ความว่าที่เกิดเหตุเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน หาใช่ที่ที่มีเอกชนเป็นเจ้าของไม่ จึงลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานนี้ไม่ได้ เพราะความผิดในฐานดังกล่าวกฎหมายมุ่งประสงค์จะลงโทษผุ้ที่บุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเท่านั้น ไม่ใช่บทบัญญัติที่จะลงโทษผู้บุกรุกที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินแต่อย่างใด สำหรับความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๐ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์คงนำสืบได้แต่เพียงว่า จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปไถพูนดินในที่เกิดเหตุ แล้วนำต้นมะพร้าวไปปลูกไว้ ๘๐ ต้น เท่านั้น โดยนำสืบไม่ได้ว่าที่เกิดเหตุอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้รับความเสียหาย ถูกทำลาย ถูกทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์อย่างไร และการที่จำเลยทั้งสองนำต้นมะพร้าวไปปลูกดังกล่าว ก็เป็นเพียงการเข้าไปถือประโยชน์ในที่สาธารณประโยชน์เท่านั้น หาได้ประสงค์จะเข้าไปทำให้ที่สาธารณประโยชน์ตามฟ้องต้องเสื่อมค่าหรือไร้ประโยชน์ไม่ จึงลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานนี้ไม่ได้อีกเช่นกัน ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นเป็นบางส่วน แต่อย่างไรก็ดีไม่ปรากฎว่าจำเลยทั้งสองเคยรับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยทั้งสองกลับตัวเป็นคนดีสักครั้งหนึ่งโดยรอการลงโทษจำคุกให้ แต่สมควรลงโทษปรับจำเลยทั้งสองด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๑๐๘ ทวิ วรรคสอง ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๙๖ ข้อ ๑๑ วางโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๑ ปี ปรับคนละ ๖,๐๐๐ บาท ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๘ เดือน ปรับคนละ ๔,๐๐๐ บาท โทษจำคุกจำเลยทั้งสองให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share