แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำสั่งศาลเกี่ยวกับการบังคับคดี เช่นการออกคำบังคับ หากออกไปโดยไม่ถูกต้องตามคำพิพากษาย่อมแก้ไขใหม่ให้ถูกต้องได้ เพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษา และการแก้ไขนี้มิใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาโจทก์จึงมีสิทธิขอให้ออกคำบังคับใหม่ หรือแก้ไขให้ถูกต้องได้.
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามเช็คจำนวน 494,471.05 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15ต่อปีในต้นเงิน 430,000 บาท นับแต่วันฟฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์และฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 160,000 บาท ที่จำเลยที่ 2 ฝากไว้กับโจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยหรือนำเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยหักกลบลบหนี้กับเงินที่จำเลยค้างชำระถ้าหากมีและให้โจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่โจทก์ยึดไว้จากจำเลยที่ 2 ให้แก่จำเลยที่ 2 ด้วย
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าดำเนินคดีแทนโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้เงินแก่โจทก์ตามฟ้องและให้โจทก์ชำระเงินและโอนรถยนต์ให้แก่จำเลยที่ 2 ตามฟ้องแย้ง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 240,373.70 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ เมื่อจำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วให้โจทก์โอนทะเบียนรถให้แก่จำเลยที่ 2 หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน
เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาให้คู่ความฟังแล้วโจทก์แถลงขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับส่งให้แก่จำเลยทั้งสองศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 240,373.70 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ ให้โจทก์ใช้เงินให้จำเลยที่ 2จำนวน 160,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 เมษายน 2522 จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้โจทก์จำเลยหักกลบลบหนี้กัน เมื่อจำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้ว ให้โจทก์โอนทะเบียนรถยนต์ยี่ห้อเบ๊นซ์ หมายเลขทะเบียน 8 ข. 3788 ให้แก่จำเลยที่ 2 หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาภายใน30 วัน ครบกำหนดตามคำบังคับ จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา
ก่อนที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ โจทก์ยื่นคำร้องว่าข้อความตามคำบังคับและหมายบังคับคดีที่ศาลชั้นต้นออกไว้แล้วไม่ถูกต้อง เพราะตามคำพิพากษาศาลฎีกาไม่ได้กล่าวถึงการหักกลบลบหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงขอให้ออกคำบังคับให้แก่จำเลยทั้งสองใหม่โดยไม่ต้องให้มีการหักกลบลบหนี้
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องของโจทก์ว่า ตอนแรกศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้เงินโจทก์ 430,000 บาท และให้โจทก์ใช้เงินจำเลยที่ 2 จำนวน 160,000 บาท หักกลบลบหนี้กัน ต่อมาทางศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้โจทก์ 240,737.70 บาท นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาพิพากษายืน โดยนัยนี้การที่ให้โจทก์ใช้เงินจำเลยที่ 2 จำนวน 160,000 บาท และหักกลบลบหนี้กันตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นยังมีผลบังคับอยู่ คำบังคับที่ออกไปจึงชอบแล้ว ไม่มีเหตุต้องแก้ไขให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาเสียใหม่ให้ถูกต้อง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษาว่า “…คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้ที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์ เป็นเงิน 410,000 บาท และเห็นว่าการแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา342 วรรคสอง บัญญัติให้มีผลย้อนหลังขึ้นไปจนถึงเวลาซึ่งทั้งสองฝ่ายอาจหักกลบลบหนี้กันได้เป็นครั้งแรก ซึ่งในกรณีพิพาทกันนี้ตั๋วแลกเงินตามเอกสารหมาย ล.1 ที่โจทก์ต้องรับผิดใช้เงินให้แก่จำเลยพร้อมด้วยดอกเบี้ยถึงกำหนดจ่ายเงินวันที่ 26 ตุลาคม 2522จึงต้องทำการหักกลบลบหนี้กันตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2522 ซึ่งเป็นวันที่อาจหักกลบลบหนี้กันได้เป็นครั้งแรก เมื่อคำนวณยอดหนี้ตามตั๋วแลกเงินพร้อมดอกเบี้ยถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2522 เป็นเงิน169,626.30 บาท เมื่อหักกลบลบหนี้กับจำนวนเงินที่จำเลยต้องรับผิดจำนวน 410,000 บาทแล้ว จึงเหลือเงินที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์จำนวน 240,373.70 บาท ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกี่ยวกับหนี้เงินว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน 240,373.70 บาทพร้อมด้วยดอกเลี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จยอดเงินดังกล่าวจึงเป็นยอดเงินที่ได้มีการหักกลบลบหนี้กันแล้ว เป็นยอดเงินสุทธิที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวนนี้ให้โจทก์ก็ให้โจทก์โอนทะเบียนรถยนต์ยี่ห้อเบ๊นซ์หมายเลขทะเบียน8 ข. 3788 ให้แก่จำเลยที่ 2 เลยทีเดียวไม่มีหนี้ที่โจทก์จะต้องชำระให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยจะนำมาหักกลบลบหนี้ได้อีกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ว่านอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงหมายถึงเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลชั้นต้นสั่งให้เป็นพับแต่อย่างเดียวเท่านั้น ที่ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงมีความหมายดังกล่าว ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นออกคำบังคับเกี่ยวกับเรื่องหนี้เงินนี้ว่า ให้โจทก์ใช้เงินใช้จำเลยที่ 2จำนวน 160,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 เมษายน 2522 จนกว่าจะชำระเสร็จและให้หักกลบลบหนี้ได้ จึงผิดไปจากคำพิพากษาศาลฎีกา เป็นการไม่ถูกต้องและเห็นว่าคำสั่งศาลเกี่ยวกับการบังคับคดี เช่นการออกคำบังคับนี้ หากออกไปไม่ถูกต้องย่อมแก้ไขใหม่ให้ถูกต้องได้ เพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาและการแก้ไขนี้เป็นเรื่องแก้ไขคำบังคับไม่ใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษา โจทก์จึงมีสิทธิขอให้ออกคำบังคับใหม่ได้ ฎีกาข้ออื่นของจำเลยทั้งสองเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน โจทก์แก้ฎีกาเอง จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.