แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งเทศมนตรี จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ตอบกระทู้ของสมาชิกสภาจังหวัดโดยทำเป็นบันทึกอัดโรเนียวแจกสมาชิกสภาจังหวัดใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง โดยเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 326, 328. จำเลยให้การปฏิเสธและว่าการกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดตามกฎหมายโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลย และจำเลยก็มีสิทธินำสืบเพื่อแสดงว่าจำเลยมิได้กระทำผิด แม้จำเลยจะได้แถลงรับรองความถูกต้องของสำเนาบันทึกท้ายฟ้องว่าเป็นเอกสารที่จำเลยได้พิมพ์แจก และแถลงว่าข้อความในบันทึกนั้น จำเลยได้กล่าวถึงโจทก์ในขณะปฏิบัติการในฐานะเทศมนตรี ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยรับสารภาพ แม้ศาลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องสืบพยานโจทก์ก็ยังต้องให้โอกาสจำเลยนำพยานเข้าสืบตามข้อต่อสู้ก่อนจึงจะชอบที่ศาลสั่งงดสืบพยานโจทก์และนัดฟังคำพิพากษา ไม่ได้ให้จำเลยนำพยานเข้าสืบตามข้อต่อสู้ แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ไม่ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ดำรงตำแหน่งเทศมนตรีเมืองสงขลา จำเลยได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้โฆษณาด้วยเอกสารหรือป่าวประกาศในที่ประชุมสมาชิกสภาจังหวัดสงขลาใส่ความโจทก์ต่อสมาชิกสภาจังหวัดสงขลา โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง โดยทำเป็นบันทึกพิมพ์ดีดอัดโรเนียวเป็นหลายชุดแจกสมาชิกสภาจังหวัดสงขลา ทั้งนี้ โดยเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ข้อความในบันทึกปรากฏตามสำเนาท้ายฟ้องจำเลยกระทำในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตอบกระทู้สมาชิกสภาจังหวัดสงขลาในที่ประชุมสมาชิกสภาจังหวัดสงขลาอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย แต่เป็นการปฏิบัติโดยมิชอบกล่าวคือจำเลยได้ตอบกระทู้โดยทำเป็นบันทึก ซึ่งข้อความในบันทึกนั้นไม่เป็นกิจการอันเกี่ยวกับหน้าที่ของสภาจังหวัดโดยเฉพาะทั้งเป็นกิจการมิชอบด้วยอำนาจหน้าที่และฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งมิได้มีข้อความใด ๆ อันเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของราชการบริหารส่วนภูมิภาคเหตุเกิดที่ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลาจังหวัดสงขลา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๖, ๑๕๗, ๓๒๖, ๓๒๘, ๓๙๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ให้ประทับฟ้องในข้อหาเกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๖, ๓๒๖, ๓๒๘ ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ตลอดข้อหา และว่าการกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์ แล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๖, ๓๒๖, ๓๒๘ ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๒๘ อันเป็นบทหนักที่สุดตามมาตรา ๙๐ ให้ปรับจำเลย ๑,๐๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา ๒๙, ๓๐
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๑๕ ว่า ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลได้สอบถามคู่ความจำเลยยอมรับถึงความถูกต้องของสำเนาบันทึกท้ายฟ้องว่าเป็นเอกสารที่จำเลยได้พิมพ์แจกสมาชิกสภาจังหวัดสงขลาอันทำให้เกิดเป็นกรณีพิพาทคดีนี้โจทก์แถลงว่าข้อความที่โจทก์ถือว่าเป็นการดูหมิ่นและหมิ่นประมาทโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๖, ๓๒๖ และ ๓๒๘ คือข้อความในบันทึกท้ายฟ้องข้อ ๕ ,๖, ๗ และ ๑๒ จำเลยแถลงว่าข้อความต่าง ๆ ในบันทึกท้ายฟ้องจำเลยได้กล่าวถึงโจทก์ในขณะปฏิบัติการในฐานะเทศมนตรีเทศบาลเมืองสงขลาอันเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายศาลชั้นต้นเห็นว่าปัญหาที่ศาลจักต้องวินิจฉัยล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อความในบันทึกท้ายฟ้องข้อ ๕, ๖, ๗ และ ๑๒ เป็นหมิ่นประมาทและดูหมิ่นเจ้าพนักงานหรือไม่ จำเลยมีอำนาจตามกฎหมายอย่างไรหรือไม่ในอันที่จักไม่ต้องรับผิดในคำกล่าวนั้น หากคำกล่าวนั้นเป็นการดูหมิ่นและหมิ่นประมาทเจ้าพนักงาน ทนายโจทก์แถลงขอสืบพยานในประเด็นที่ว่า ข้อความในบันทึกท้ายฟ้องข้อ ๕, ๖, ๗ และ ๑๒ เป็นการหมิ่นประมาทและดูหมิ่นเจ้าพนักงานหรือไม่ ศาลชั้นต้นเห็นว่าปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลวินิจฉัยได้เองจึงให้งดสืบพยานโจทก์ และนัดฟังคำพิพากษา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานดูหมิ่นและหมิ่นประมาทเจ้าพนักงาน ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อหาและต่อสู้ด้วยว่าการกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดตามกฎหมายโจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลย และจำเลยก็มีสิทธินำสืบพยานเพื่อแสดงว่าจำเลยมิได้กระทำผิด ทั้งการกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย แม้ในวันนัดสืบพยานโจทก์จำเลยได้แถลงรับข้อเท็จจริงบางประการตามรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวข้างต้น ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยรับสารภาพความผิดแม้ศาลเห็นว่าไม่จำต้องสืบพยานโจทก์ ศาลก็ต้องให้โอกาสจำเลยนำพยานเข้าสืบตามข้อต่อสู้ของจำเลยก่อนจึงจะชอบ การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์และนัดฟังคำพิพากษาอันมีผลเป็นการตัดสิทธิจำเลยมิให้นำพยานเข้าสืบตามข้อต่อสู้นั้นเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาสืบพยานจำเลยและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี