คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1683/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องสอดจำนองเรือยนต์ไว้กับโจทก์ตามสัญญาหมาย จ.1 ต่อมาผู้ร้องสอดโอนเรือนี้ให้แก่จำเลย เพื่อหลบเจ้าหนี้ของผู้ร้องสอดโดยรู้กับจำเลย แล้วให้จำเลยทำสัญญาจำนองเรือนั้นกับโจทก์ใหม่เท่าจำนวนหนี้ตามสัญญาจำนองเดิม การจำนองครั้งหลังนี้ไม่มีการรับเงิน แต่ถือเอาเงินที่ผู้ร้องสอดจะต้องชำระตามสัญญาจำนองหมาย จ.1 มาเป็นเงินรับจำนองตามสัญญาหมาย จ.2 โดยโจทก์ก็ทราบว่าผู้ร้องสอดโอนเรือพิพาทให้แก่จำเลยเพื่อหลบเจ้าหนี้ ส่วนสัญญาจำนองหมาย จ.1 ก็ยังไม่ได้จดทะเบียนไถ่ถอน ดังนี้ เห็นได้ว่าเจตนาของผู้ร้องสอดในการโอนเรือให้แก่จำเลยเป็นเจตนาลวงด้วยสมรู้กับจำนอง จึงตกเป็นโมฆะ จำนองไม่มีสิทธิในเรือตลอดทั้งไม่มีสิทธิที่จะทำสัญญาจำนองเรือกับโจทก์แต่ประการใด โจทก์ก็ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต เพราะทราบเจตนาลวงของผู้ร้องสอดนั้นอยู่แล้ว จึงฟ้องบังคับจำนองตามสัญญาหมาย จ.2 ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๖ นายโฉมจำเลยจำนองเรือยนต์ “ศรีมัจฉา” ไว้กับโจทก์เป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี จำเลยไม่ส่งดอกเบี้ยเลย ทวงถามก็ผัดเรื่อยมา จึงขอให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ ถ้าจำเลยสามารถไล่จำนองก็ให้ไถ่
นายโฉมจำเลยให้การว่าโจทก์เป็นอาจำเลย นายบุรี เป็นบุตรเขยบุญธรรมของโจทก์และเป็นพี่เขยนายโฉมเรือนยนต์ “ศรีมัจฉา” เป็นของนายบุรี ๆ เกรงว่าถ้าการค้าที่ทำอยู่ผิดพลาด อาจสิ้นเนื้อประดาตัว เพื่อป้องกันเหตุนี้ นายบุรี จึงโอนเรือและที่ดินให้เป็นกรรมสิทธิ์ของนายโฉม และเพื่อป้องกันว่า ถ้าเรือยนต์ไปชนเรืออื่นหรือนายโฉมไปก่อหนี้ขึ้น เจ้าหนึ้อาจยึดเรือและที่ดินได้อีก จึงตกลงนำเรือและที่ดินไปทำสัญญาจำนองไว้กับโจทก์ โดยไม่มีการจ่ายเงิน ขอให้ยกฟ้อง
นายบุรี ตุนภณ์ ร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
นายบุรีให้การเช่นเดียวกับจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ยึดเรือพิพาทที่จำนองขายทอดตลาดนำเงินสุทธิชำระให้โจทก์ ถ้าจำเลยสามารถไล่จำนองได้ก็ให้ไถ่
จำเลยและผู้ร้องสอดอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกาว่า กรณีเป็นเรื่องโจทก์และผู้ร้องสอดสมยอมกันให้จำเลยทำสัญญาจำนองหมาย จ.๒ กับโจทก์โดยปราศจากมูลหนี้ จำเลยจึงไมีมีหนี้ที่จะต้องชำระ ที่ศาลวินิจฉัยฟังว่าผู้ร้องสอดได้จำนองเรือพิพาทไว้กับโจทก์ตามสัญญาหมาย จ.๑ แล้วโจทก์ตกลงกับผู้ร้องสอดและจำเลยให้ถือเอาเงินซึ่งเป็นหนี้ตามสัญญาจำนองหมาย จ.๑ มาเป็นเงินรับจำนองตามสัญญาหมาย จ.๒ และบังคับให้ผู้ร้องสอดรับผิดชอบต่อโจทก์ด้วยนั้น ก็ไม่ชอบ เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น เพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องพึงสัญญาหมาย จ.๑ จะนำสืบถึงสัญญาหมาย จ.๑ ไม่ได้ ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้ฟ้องขอบังคับตามสัญญาหมาย จ.๑ อย่างใด
ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า เรือ “ศรีมัจฉา” ซึ่งพิพาทกัน เดิมเป็นของผู้ร้องสอดจำนองไว้กับโจทก์ตามสัญญาหมาย จ.๑ ผู้ร้องสอดยังไม่ได้ชำระหนี้จำนองตามสัญญานี้ ต่อมาผู้ร้องสอดโอนเรือพิพาทให้แก่จำเลยเพื่อหลบเจ้าหนี้ของผู้ร้องสอดโดยสมรู้กับจำเลย แล้วให้จำเลยทำสัญญาจำนองเรือนั้นไว้กับโจทก์ใหม่เท่าจำนวนหนี้ ตามสัญญาจำนองเดิม การจำนองครั้งหลังนี้ไม่มีการรับเงิน แต่ถือเอาเงินซึ่งเป็นหนี้ที่ผู้ร้องสอดจะต้องชำระตามสัญญาจำนองหมาย จ.๑ มาเป็นเงินรับจำนองตามสัญญาหมาย จ.๒ ส่วนสัญญาจำนองหมาย จ.๑ ยังไม่ได้จดทะเบียนไถ่ถอน โจทก์นำสืบถึงสัญญาหมายจ.๑ ก็เป็นเรื่องนำสืบมูลเหตุที่มาสู่การทำสัญญาหมาย จ.๒ ไม่เป็นการสืบนอกฟ้องนอกประเด็น ทั้งนี้ ตามเหตุผลที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดแล้ว นอกจากนี้ได้ความตามคำเบิกความโจทก์ว่า ก่อนทำสัญญาจำนองหมาย จ.๒ โจทก์ก็ทราบว่าผู้ร้องสอดโอนเรือพิพาทให้แก่จำเลยเพื่อหลบเจ้าหนี้
รูปคดีเห็นได้ว่า เจตนาของผู้ร้องสอดในการโอนเรือพิพาทให้แก่จำเลยเป็นเจตนาลวงด้วยสมรู้กับจำเลย มาตรา ๑๑๘ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติว่า “การแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านว่าเป็นโมฆะ แต่ข้อไม่สมบูรณ์กันนี้ ท่านห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต และต้องเสียหายแต่การแสดงเจตนาลวงนั้น ฯลฯ” ฉะนั้น ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น การโอนเรือพิพาทระหว่างผู้ร้องสอดกับจำเลยจึงตกเป็นโมฆะ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิในเรือพิพาท ตลอดทั้งไม่มีสิทธิที่จะทำสัญญาจำนองเรือพิพาทกับโจทก์แต่ประการใด โจทก์ก็ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยไม่สุจริต เพราะทราบเจตนาลวงของผู้ร้องสอดนั้นอยู่ จำเลยและผู้ร้องสอดย่อมยกเหตุที่การแสดงเจตนาของผู้ร้องสอดเป็นโมฆะขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ สัญญาจำนองหมาย จ. ๒ จึงหาเกิดผลอย่างใดไม่ ฉะนั้น โจทก์จะฟ้องบังคับจำนองตามสัญญาหมาย จ.๒ ไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้บังคับคดีตามสัญญาหมาย จ.๒ ไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกา ฎีกาจำเลยและผู้ร้องสอดฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องตามสัญญาหมาย จ.๑ ต่อไป

Share