แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อก่อนแยกโฉนดที่ดินกัน ที่ดินโฉนดที่ 7371 ของจำเลยกับโฉนดที่ 7372 ของโจทก์ และที่ดินโฉนดอื่นๆ รวมอยู่ในที่ดินโฉนดที่ 3604 ซึ่งเดิมเป็นของโจทก์กับบุคคลอื่น. ดังนั้น แม้โจทก์จะได้เดินในที่ดินซึ่งภายหลังออกเป็นโฉนดที่ 7371 มานานเท่าใด. ก็เป็นการใช้สิทธิของเจ้าของกรรมสิทธิ์ มิใช่เป็นการใช้โดยปรปักษ์อันจะทำให้เกิดภารจำยอมโดยอายุความ.
ที่ของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมโดยรอบ มีความจำเป็นจะต้องมีทางออกสู่ทางสาธารณะ. แต่ที่โจทก์เป็นที่ที่แบ่งแยกออกมาจากที่ดินโฉนดที่ 3604. โจทก์มีสิทธิจะเรียกร้องเอาทางเดินจากที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกได้ จะเอาทางเดินจากที่ดินแปลงอื่นหาได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่293 กับโฉนดที่ 7371 โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 7372 ติดกับที่ดินของจำเลยดังกล่าว โจทก์เดินผ่านที่ดินจำเลยออกไปสู่ถนนสายไปวัดชมนิมิตรไปสู่ถนนใหญ่ตลอดมาโดยสงบและเปิดเผยมาเกิน 10 ปี ย่อมได้ภารจำยอม และที่ดินโจทก์อยู่ในที่ล้อมของที่ดินแปลงอื่น ไม่มีทางออก จำเลยทำรั้วสังกะสีกั้นเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 7371 ของจำเลยและทำประตู ทำรั้วกั้นเขตที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 293 ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าออกสู่ถนนสายไปวัดชมนิมิตรได้ ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้รื้อและจดทะเบียนภารจำยอม ฯลฯ จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยใช้เส้นทางเดินผ่านในที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 7371, 7925 จนได้สิทธิภารจำยอม ทางเดินข้างโรงงานทำแก้วออกไปสู่ถนนวัดชมนิมิตรเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 7925 ซึ่งจำเลยแบ่งออกมาจากที่ดินโฉนดที่ 7383 อีกทีหนึ่ง ที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่7372 มีทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะได้ ที่ดินโฉนดเลขที่ 7371, 7372ฯลฯ เดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกันรวมอยู่ในโฉนดเลขที่ 3604 แล้วแบ่งออกเป็นหลายแปลง นายประนมเจ้าของโฉนดเลขที่ 7371 ฯลฯ ได้โอนให้จำเลย ระหว่างที่โฉนดเลขที่ 7371, 7372 ฯลฯ ยังไม่แบ่งแยก ยังรวมอยู่ในโฉนดเลขที่ 3604 ทางภารจำยอมเกิดขึ้นไม่ได้ และนับแต่แบ่งแยกออกมาเป็นคนละเจ้าของถึงวันฟ้องก็เป็นเวลาเพียง 3 ปีเศษ โจทก์อ้างอายุความได้สิทธิภารจำยอมไม่ได้ ฯลฯ ศาลชั้นต้นเห็นว่า ที่ดินโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อม ที่ดินโฉนดเลขที่ 7371 จึงเป็นทางจำเป็นและทางกว้าง 3 เมตรก็พอสมควร ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 7925 ซึ่งขณะนี้เป็นถนนทั้งโฉนด โจทก์ได้ใช้เดินมากว่า 10 ปี ย่อมตกอยู่ในภารจำยอม พิพากษาให้จำเลยรื้อรั้วและสิ่งกีดขวางเปิดทางให้โจทก์เดินเข้าออกสู่ถนนไปวัดชมนิมิตรได้ คือกว้าง 3 เมตร จากหลักเขตใต้สุดทางทิศตะวันออกขึ้นไปทางทิศเหนือและยาวไปทางทิศตะวันตก 9 เมตรของโฉนดที่ดินเลขที่ 7371 ของจำเลยและให้จำเลยเปิดที่ดินโฉนดที่ 7925 ของจำเลยให้โจทก์เดินเข้าออกได้ทั้งโฉนด ให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมที่ดินโฉนดเลขที่ 7925เป็นทางเดินเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 7372 ของโจทก์ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา ปัญหามีว่าที่พิพาทที่โจทก์ฟ้องเป็นภารจำยอมที่โจทก์ได้มาโดยอายุความหรือไม่ ปรากฏว่าสำหรับที่พิพาทส่วนที่อยู่ในโฉนดที่ 7371นั้น โจทก์ก็รับอยู่แล้วว่าเดิมโจทก์ นายประนม นางสนวนปกครองที่ดินร่วมกัน มิได้แยกปกครองเป็นส่วนสัด เพิ่งได้แบ่งแยกโฉนดกันเป็นส่วนสัดเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2505 นี้เอง ดังนั้น เมื่อก่อนแยกโฉนดที่ดินกัน ที่ดินโฉนดที่ 7371 กับที่ดินโฉนดที่ 7372 และที่ดินโฉนดอื่น ๆ ในที่ดินตามโฉนดที่ 3604 เดิมก็คงเป็นของโจทก์นายประนม นางสนวนร่วมกันมาทุกส่วน แม้โจทก์จะได้เดินในที่ดินซึ่งภายหลังได้ออกเป็นโฉนดที่ 7371 มานานเท่าใด ก็เป็นการใช้สิทธิของเจ้าของกรรมสิทธิ์นั่นเอง หาใช่เป็นการใช้โดยปรปักษ์อันจะทำให้เกิดภารจำยอมโดยอายุความไม่ ส่วนหลังจากได้แบ่งแยกโฉนดแล้ว ก็นับถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 10 ปี แม้โจทก์จะเดินผ่านก็ยังไม่ได้ภารจำยอมโดยอายุความอยู่นั่นเอง ที่พิพาทเฉพาะส่วนที่อยู่ในโฉนดที่ 7371 จึงหาใช่ภารจำยอมของโจทก์ไม่ ส่วนที่พิพาทโฉนดที่ดิน 7925 ของจำเลยนั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่เคยใช้เดิน แม้ภายหลังจำเลยจะได้ถมดินทำถนนขึ้นแล้ว โจทก์ได้มาใช้เดินบ้างก็ไม่ทำให้โจทก์ได้ภารจำยอมเพราะยังไม่ถึง 10 ปี จริงอยู่ขณะนี้ที่ของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมโดยรอบ โจทก์มีความจำเป็นจะต้องมีทางออกสู่ทางสาธารณะ ที่ของโจทก์นี้เป็นที่ ๆ แบ่งแยกออกมาจากที่ดินโฉนดที่ 3604 ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 โจทก์มีสิทธิจะเรียกร้องเอาทางเดินจากที่ดินที่ได้แบ่งแยกได้ โจทก์จะเอาทางเดินจากที่ดินแปลงอื่นหาได้ไม่ พิพากษายืน.