แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยลักทรัพย์โดยวิธีล้วงกระเป๋า จำเลยแกะกระดุมเปิดฝากระเป๋ากางเกงเอาธนบัตรออกมานอกกระเป๋า แล้วพอดีเจ้าทรัพย์รู้ตัวใช้มือตบกระเป๋าบังเอิญไปถูกมือจำเลยซึ่งกำลังกุมธนบัตรอยู่ ธนบัตรร่วงหล่นจากมือจำเลยลงไปที่เท้าเจ้าทรัพย์ ดังนี้เป็นความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้วไม่ใช่เป็นความผิดฐานพยายาม
ย่อยาว
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาชี้ขาดข้อเท็จจริงยืนตามศาลชั้นต้นว่าจำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์โดยวิธีล้วงเอาธนบัตร 800 บาทไปจากกระเป๋ากางเกงของนายปาน พักเชื้อไป พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 288 ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี เพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบตาม มาตรา 72 อีก 1 ใน 3 รวมเป็น 2 ปี 8 เดือน และจำเลยเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานลักทรัพย์มาก่อนแล้วถึง 3 ครั้ง มีสันดานเป็นผู้ร้าย เมื่อพ้นโทษแล้วให้ส่งตัวไปกักกันมีกำหนดอีก 3 ปี และคืนเงินของกลางให้เจ้าทรัพย์
จำเลยฎีกา ศาลรับฎีกาเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ที่จำเลยอ้างว่าการกระทำของจำเลยยังไม่สำเร็จคดีเป็นผิดฐานพยายามลักทรัพย์เท่านั้น
ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยล้วงธนบัตรออกจากกระเป๋ากางเกงของนายปานซึ่งมีฝาปิดและมีกระดุมกลัดอยู่เอาธนบัตรออกมานอกกระเป๋าแล้วพอดีเจ้าทรัพย์รู้สึกตัว ใช้มือตบกระเป๋าบังเอิญไปถูกมือจำเลยซึ่งกำลังกุมธนบัตรอยู่ ธนบัตรร่วงหล่นจากมือจำเลยลงไปที่เท้าเจ้าทรัพย์
จำเลยมีเจตนาลักโดยวิธีล้วงกระเป๋า และแกะกระดุมเปิดฝาล้วงเอาธนบัตรออกมานอกกระเป๋าได้แล้ว การล้วงกระเป๋าเป็นการสำเร็จจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จ
แต่โทษเก่า ๆ ของจำเลยนั้น ภายหลังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีนี้ไปแล้ว ได้มีการบังคับใช้พระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสครบ 25พุทธศตวรรษ พ.ศ. 2499 ในมาตรา 3 ให้ถือว่ามิได้เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำผิดในคดีนั้น ๆ เป็นอันล้างมลทินไปแล้วมีผลให้ไม่ต้องเพิ่มโทษหรือกักกันจำเลยไปในตัว
พิพากษาแก้เป็นเพียงให้ลงโทษจำคุกจำเลยฐานลักทรัพย์มีกำหนด2 ปี ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 288 แต่ประการเดียว ฯลฯ