แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตำรวจ 10 กว่าคนมีปืนตรูกันจะเข้าบ้านจำเลย เพื่อจะจับผู้ลักลอบเล่นการพนัน ในบ้านจำเลย แต่ความจริงไม่มีการลักลอบเล่นการพนันกันที่บ้านจำเลย ในขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนเดือนมืดมากถิ่นนั้นก็มีผู้ร้ายปล้นชุกชุม จนจำเลยต้องเตรียมตัวระวังคนร้ายอยู่เสมอ จำเลยจึงเข้าใจผิดคิดว่าพวกตำรวจเป็นคนร้ายจะเข้าปล้น จำเลยจึงยิงปืนไปที่พวกตำรวจ 1 นัด เพื่อจะยับยั้งและหนีเอาตัวรอด ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นการเข้าใจผิดในข้อเท็จจริง ยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิดได้ เพราะการกระทำของจำเลยเรียกได้ว่าจำเลยกระทำการโดยเจตนาเพื่อป้องกันตนและผู้อื่น โดยสุจริตและพอสมควรแก่เหตุ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2492 เวลากลางคืนในขณะที่จ่านายสิบตำรวจมงคล เปียพิกุล กับพลตำรวจอีกหลายนายเข้าทำการจับกุมจำเลยในคดีอาญาดำที่ 138/2492 ของศาลจังหวัดนครสวรรค์อันเป็นการกระทำตามหน้าที่ จำเลยบังอาจใช้ปืนยิงจ่านายสิบตำรวจมงคล1 นัด โดยเจตนาจะฆ่าให้ตาย แต่กระสุนไม่ถูกที่สำคัญ จึงไม่ตายขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 250, 60
จำเลยให้การว่า นางพุดกับพวกจำเลยในคดีดำที่ 138/2492 มิได้เล่นการพนัน จำเลยได้ใช้ปืนยิงไป 1 นัดโดยเชื่อแน่ว่ามีผู้ร้ายมาปล้นเพราะถิ่นนี้มีผู้ร้ายมาปล้นชุกชุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 250, 60 ให้จำคุกจำเลยไว้ 16 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้พิจารณาคำพยานโดยตลอดแล้ว ฟังข้อเท็จจริงว่าคดีมีพฤติการณ์ทำให้จำเลยเข้าใจผิดในข้อเท็จจริง คิดว่า พวกตำรวจที่เข้ามานั้นเป็นพวกปล้นจริง จำเลยยิงไปเพียงนัดเดียว แสดงว่าน่าจะเจตนาให้เป็นการยับยั้งเพื่อจะหนีเอาตัวรอดให้ปลอดภัย มิใช่ตั้งใจจะต่อสู้หรือจะฆ่าเจ้าพนักงาน หากกระทำไปด้วยความสำคัญผิดและมีเหตุอันสมควรที่วิญญูชนทั้งหลายจะถึงเข้าใจเช่นนั้น การเข้าใจผิดในข้อเท็จจริงเป็นข้อแก้ตัวได้ สำหรับคดีนี้เรียกได้ว่าจำเลยกระทำการโดยเจตนา เพื่อป้องกันตนและผู้อื่นโดยสุจริตและพอสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิดตามมาตรา 50
จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์