คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1678/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องได้นำยึดที่ดินของจำเลยซึ่งติดจำนองก. เป็นประกันเงินกู้ที่จำเลยได้ขอกู้เพื่อซื้อที่ดินเป็นเงิน500,000บาทมียอดหนี้จำนองถึงวันที่30มิถุนายน2534เป็นเงิน410,000บาทและต่อมามียอดหนี้ค้างเมื่อวันที่2ธันวาคม2537เพียง247,000บาทเท่านั้นแสดงว่าราคาที่แท้จริงของที่ดินแปลงนี้น่าจะมากกว่า500,000บาทตามที่ได้จดทะเบียนจำนองกับก.ไว้และหนี้ตามคำพิพากษาที่จำเลยต้องชำระให้ผู้ร้องนับถึงวันที่ศาลมีคำสั่งคำร้องของผู้ร้องคดีนี้คิดเป็นเงินประมาณ257,760บาทจึงยังถือไม่ได้ว่าทรัพย์ที่ผู้ร้องยึดไว้ไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษาแม้ทรัพย์ที่ยึดมีการร้องขัดทรัพย์แต่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าทรัพย์ที่ยึดไม่ใช่ของจำเลยที่1ทรัพย์ที่ยึดจึงยังเป็นของจำเลยที่1กรณีจึงยังไม่ต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา290วรรคสองที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 475,415,72 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมภายหลังต่อมาจำเลยทั้งสองไม่ชำระโจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 19538แขวงสามวาตะวันออก เขตมีนบุรี (เมือง) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2537
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 260/2524 ของศาลแพ่ง ซึ่งผู้ร้องได้นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีดังกล่าวไว้จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้รับชำระหนี้ หากมีการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดก็ไม่พอชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้อง และจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นใด ที่ผู้ร้องจะทำการบังคับคดีได้อีก จึงขอเข้าเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้ และหากโจทก์ในคดีนี้สละสิทธิหรือถอนการบังคับคดีไม่ว่ากรณีใดก็ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิการบังคับคดีแทน
จำเลยที่ 1 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องเคยยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ไว้ และทรัพย์ที่ยึดไว้นั้นมีราคาสูงกว่ามูลหนี้ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ตามคำพิพากษามากทรัพย์ที่ยึดจึงเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องได้ ผู้ร้องจึงไม่มีความจำเป็นที่จะขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้อีกต่อไป ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง ยกคำร้อง
ผู้ร้อง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290
จำเลย ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้หรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคสอง บัญญัติห้ามมิให้ศาลอนุญาตตามคำขอเฉลี่ยทรัพย์ เว้นแต่ศาลเห็นว่า ผู้ยืนคำขอไม่สามารถเอาชำระหนี้ได้จากทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น เห็นว่า ผู้ร้องได้นำยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 14221 เนื้อที่ 62.7 ตารางวา ของจำเลยที่ 1 ซึ่งติดจำนองสหกรณ์ออมทรัพย์พนักงานการประปานครหลวงจำกัด เป็นประกันเงินกู้ที่จำเลยที่ 1 ได้ขอกู้เพื่อซื้อที่ดินเป็นเงิน 500,000 บาท มียอดหนี้จำนองถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2534เป็นเงิน 410,000 บาท และต่อมามียอดหนี้ค้างเมื่อวันที่ 2ธันวาคม 2537 เพียง 247,000 บาท เท่านั้น แสดงว่าราคาที่แท้จริงของที่ดินแปลงนี้น่าจะมากกว่า 500,000 บาท ตามที่ได้จดทะเบียนจำนองกับสหกรณ์ออมทรัพย์พนักงานการประปานครหลวง จำกัด ไว้ และหนี้ตามคำพิพากษาที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระให้ผู้ร้องนับถึงวันที่ศาลมีคำสั่งคดีนี้คิดเป็นเงินประมาณ 257,760 บาท จึงยังถือไม่ได้ว่าทรัพย์ที่ผู้ร้องยึดไว้ไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษากรณีจึงยังไม่ต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 290 วรรคสอง ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ทรัพย์ที่ยึดมีการร้องขัดทรัพย์นั้น เมื่อยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าทรัพย์ที่ยึดไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 ทรัพย์ที่ยึดจึงยังเป็นของจำเลยที่ 1
พิพากษากลับ ให้ยก คำร้องของผู้ร้อง

Share