แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยอ้างว่ากำลังรวบรวมเอกสารอยู่ยังไม่แล้วเสร็จ เพราะมีเอกสารจำนวนมากนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่าครบระยะเวลายื่นฎีกาวันที่ 29 ธันวาคม 2544 จำเลยยื่นคำแถลงขอให้เร่งรัดการคัดถ่ายสำเนาเอกสารให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2544 ศาลมีคำสั่งในคำแถลงเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2544 ให้จำเลยรับเอกสารที่ขอถ่ายสำเนาได้ตามขอ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ศาลได้ถ่ายเอกสารแล้วตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2544 ดังนั้น หากจำเลยขวนขวายที่จะดำเนินการจำเลยย่อมมีเวลาอีกกว่า 20 วัน เพียงพอที่จะเรียบเรียงราวในการยื่นฎีกาได้ ทั้งคดีนี้ก็มิได้มีถ้อยคำสำนวนมากมายหรือยุ่งยากซับซ้อนจนไม่อาจรวบรวมหรือทำคำฟ้องฎีกามายื่นได้ทันภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดจึงยังถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษที่ศาลจะสั่งขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 867,730.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลให้ครบภายใน 3 วัน ครั้นครบกำหนดแล้วจำเลยมิได้ชำระค่าขึ้นศาลดังกล่าวศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย โดยมีคำสั่งเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2544 ต่อมาวันที่ 14 พฤษภาคม 2544 จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยเพิ่งทราบเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2544 ว่า ศาลมีคำสั่งให้จำเลยนำเงินไปวางศาลจำนวน 200 บาท จำเลยจึงขอวางเงินจำนวนดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ จำเลยยื่นคำร้องอุธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า การที่จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นขอให้สืบพยานจำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่นั้น นอกจากจำเลยจะต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาทแล้ว จำเลยจะต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ด้วย เมื่อจำเลยไม่นำเงินดังกล่าวมาวาง จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ โดยศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2544
ต่อมาวันที่ 24 ธันวาคม 2544 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาโดยอ้างเหตุว่า จำเลยกำลังรวบรวมเอกสารอยู่ยังไม่แล้วเสร็จ เพราะเอกสารมีจำนวนมาก จึงขอขยายระยะเวลาออกไปอีก 30 วัน นับแต่วันครบกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กรณีมีเหตุที่จะอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 บัญญัติว่า การขยายระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายนี้ให้พึงทำได้ต่อเมื่อพฤติการณ์พิเศษ การที่จำเลยอ้างว่ากำลังรวบรวมเอกสารอยู่ยังไม่แล้วเสร็จ เพราะเอกสารมีจำนวนมากนั้น ข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏว่า คดีนี้ครบกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาในวันที่ 29 ธันวาคม 2544 จำเลยยื่นคำแถลงขอให้เร่งรัดการคัดถ่ายสำเนาเอกสารให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2544 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำแถลงดังกล่าวเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2544 ให้จำเลยรับเอกสารที่ขอถ่ายสำเนาได้ตามคำขอ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ศาลได้ถ่ายสำเนาเอกสารแล้วตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2544 ดังนั้น หากจำเลยขวนขวายที่จะดำเนินการจำเลยย่อมมีเวลาอีกกว่า 20 วัน เพียงพอที่จะเรียบเรียงเรื่องราวในการยื่นฎีกาได้ทั้งคดีนี้ก็มิได้มีถ้อยคำสำนวนมากมายหรือยุ่งยากซับซ้อนจนไม่อาจรวบรวมหรือทำคำฟ้องฎีกามายื่นได้ทันภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงยังถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษที่ศาลจะสั่งขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน