คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1673/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 24 ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2497 มาตรา 3 บัญญัติว่า “สิ่งใดๆ อันจะพึงต้องริบตามพระราชบัญญัตินี้พนักงานศุลกากร พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจมีอำนาจยึดในเวลาใดๆ และ ณ สถานที่ใดๆ ก็ได้
สิ่งที่ยึดไว้นั้น ถ้าเจ้าของหรือผู้มีสิทธิไม่มายื่นคำร้องเรียกเอาภายในกำหนดหกสิบวันสำหรับยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำผิด สามสิบวันสำหรับสิ่งอื่นนับแต่วันยึด ให้ถือว่าเป็นสิ่งของที่ไม่มีเจ้าของ และให้ตกเป็นของแผ่นดิน” นั้น ใช้บังคับเฉพาะกรณีการร้องขอคืนของกลางที่ถูกยึดโดยไม่มีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลเท่านั้น หากพระราชบัญญัติศุลกากรฯประสงค์จะใช้บังคับแก่กรณีที่ได้มีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลด้วย ก็คงจะได้บัญญัติกำหนดระยะเวลาเรียกร้องคืนของกลาง “นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด” ไว้ดังเช่นที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1327 วรรคแรก หากถือว่าของกลางตกเป็นของแผ่นดินแล้วพนักงานอัยการโจทก์ก็ไม่จำต้องร้องขอให้ศาลพิพากษาริบของกลางที่ตกเป็นของแผ่นดินแล้วให้ยกเป็นของแผ่นดินอีก
มาตรา 17 แห่งประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติอันเป็นหลักทั่วไปตามที่บัญญัติไว้ในภาค 1 ของประมวลกฎหมายอาญานี้ ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย เว้นแต่กฎหมายนั้นจะได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ส่วนพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ดังกล่าวก็มิได้บัญญัติ เกี่ยวกับการร้องขอคืนของกลางที่มีตัวผู้ต้องหาและมีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลไว้ด้วย ฉะนั้นในคดีที่ได้มีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลและศาลพิพากษาสั่งริบเรือของกลางที่ใช้ในการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 32 ต้องถือว่าเป็นการริบทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 วรรคแรก ผู้มีสิทธิเรียกร้องเอาเรือของกลางคืนได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 36
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ไม่ขัดกันกับพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 24 ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2497 มาตรา 3 เพราะใช้บังคับต่างกรณีกัน ดังนี้จะนำพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 120 ซึ่งบัญญัติไว้ใจความว่า เมื่อใดพระราชบัญญัติศุลกากรแตกต่างกับบทกฎหมายอื่นให้ยกเอาบทบัญญัติในพระราชบัญญัติศุลกากรขึ้นใช้บังคับมาบังคับในกรณีที่มีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลไม่ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 22/2512)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2510 จำเลยกับพวกที่ยังจับตัวไม่ได้ร่วมกันใช้เรือยนต์ติดท้าย 1 ลำ พาเอาสินค้าต่างประเทศที่ยังไม่ได้เสียค่าภาษีอากรเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมด้วยเรือยนต์ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2510 ศาลพิพากษาลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร ปรับจำเลย 38,250 บาท 50 สตางค์ กับให้ริบเรือและสินค้าของกลาง

ครั้นวันที่ 16 มกราคม 2511 ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องว่า เรือยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้อง ให้จำเลยเช่าไปใช้ในกิจการอย่างอื่นมิได้ให้เช่าเพื่อใช้ในการอันผิดกฎหมาย ผู้ร้องไม่ได้ร่วมรู้เห็นในการกระทำของจำเลย ขอให้ศาลสั่งคืนเรือของกลางแก่ผู้ร้อง

ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนแล้วเชื่อว่าเรือของกลางเป็นของผู้ร้องซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย จึงมีคำสั่งให้คืนเรือของกลางให้ผู้ร้องไป

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามข้อเท็จจริงผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนเรือของกลางเมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันถูกยึด ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืน พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหานี้โดยที่ประชุมใหญ่ว่า การร้องขอคืนของกลางที่ถูกยึดไว้ในคดีอาญานั้นแยกได้เป็น 2 กรณี กรณีหนึ่งไม่มีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลเช่นจับตัวผู้ต้องหาไม่ได้ ส่วนอีกกรณีหนึ่งได้มีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลโดยจับตัวผู้ต้องหาได้และการฟ้องนั้นได้ขอให้ศาลพิพากษาริบของกลางที่ยึดไว้นั้นด้วย

ศาลฎีกาเห็นว่าพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 24ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2497 มาตรา 3 บัญญัติว่า “สิ่งใด ๆ อันจะพึงต้องริบตามพระราชบัญญัตินี้ พนักงานศุลกากร พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจมีอำนาจยึดในเวลาใด ๆ และ ณ ที่ใด ๆ ก็ได้

สิ่งที่ยึดไว้นั้น ถ้าเจ้าของหรือผู้มีสิทธิไม่มายื่นคำร้องเรียกเอาภายในกำหนดหกสิบวัน สำหรับยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำผิดสามสิบวันสำหรับสิ่งอื่นนับแต่วันยึด ให้ถือว่าเป็นสิ่งของที่ไม่มีเจ้าของ และให้ตกเป็นของแผ่นดิน” นั้น ใช้บังคับเฉพาะกรณีการร้องขอคืนของกลางที่ถูกยึดโดยไม่มีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลเท่านั้นโดยกำหนดระยะเวลายื่นคำร้องขอรับของกลางคืน “นับแต่วันที่ยึด” หากกฎหมายประสงค์จะใช้บังคับแก่กรณีที่ได้มีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลด้วย กฎหมายคงจะได้บัญญัติกำหนดระยะเวลาเรียกร้องคืนของกลาง”นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด” ไว้ดังเช่นที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1327 วรรคแรก ความว่า “ภายในบังคับแห่งบทกฎหมายอาญา กรรมสิทธิแห่งสิ่งใด ๆ ซึ่งได้ใช้ในการกระทำผิด หรือได้มาโดยการกระทำผิด หรือเกี่ยวกับการกระทำผิดโดยประการอื่น และได้สั่งไว้ในความรักษาของกรมในรัฐบาลนั้น ท่านว่าตกเป็นของแผ่นดิน ถ้าเจ้าของมิได้เรียกเอาภายในหนึ่งปีนับแต่วันส่งหรือถ้าได้ฟ้องคดีอาญาต่อศาลแล้วนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุดแต่ถ้าไม่ทราบตัวเจ้าของ ท่านให้ผ่อนเวลาออกไปเป็นห้าปี” และถ้าเมื่อถือว่าของกลางตกเป็นของแผ่นดินแล้ว ก็ไม่จำเป็นอย่างไรที่พนักงานอัยการโจทก์จะต้องร้องขอให้ศาลพิพากษาริบของกลางที่ตกเป็นของแผ่นดินแล้ว ให้ตกเป็นของแผ่นดินอีก

เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติศุลกากรฯ มาตรา 24 นี้ เดิมกำหนดระยะเวลาขอคืนของกลางที่ถูกยึดไว้ 6 เดือนนับแต่วันยึด ได้ถูกแก้ไขครั้งสุดท้ายโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2497 ให้สั้นเข้าเหลือ 60 วันสำหรับยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำผิด 30 วัน สำหรับสิ่งอื่นนับแต่วันยึด โดยให้เหตุผลว่า “การยึดของกลางในการกระทำผิดกฎหมายศุลกากร ในกรณีไม่มีตัวผู้ต้องหาว่าจะตกเป็นของแผ่นดิน เป็นการล่าช้ามากเกินสมควรโดยไม่จำเป็น ทำให้ของกลางนั้นเสื่อมคุณภาพ ทั้งเป็นเรื่องที่ไม่มีปัญหาอย่างใดแล้ว และเป็นเหตุให้ผู้แจ้งความนำจับและเจ้าหน้าที่ผู้จับกุมได้รับเงินสินบนและรางวัลล่าช้าไปด้วย เป็นผลเสียในการปราบปราม จึงจำเป็นต้องย่นระยะเวลาให้สั้นเข้า” (ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 17 ตอนที่ 15 วันที่ 2 มีนาคม 2497 หน้า 371) เช่นนี้แล้ว การที่จะตีความให้กว้างออกไปจนถึงกันว่า ในกรณีที่มีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลถ้าเจ้าของหรือผู้มีสิทธิไม่มายื่นคำร้องเรียกเอาของกลางที่ถูกยึดไว้นั้นคืนภายในระยะเวลาที่กฎหมายศุลกากรกำหนดไว้แล้ว เจ้าของหรือผู้มีสิทธิหมดสิทธิที่จะมายื่นคำร้องเรียกเอาที่ศาลอีกเช่นนี้หาเป็นการถูกต้องไม่

ในคดีนี้ศาลพิพากษาสั่งริบเรือของกลางที่ใช้ในการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 32 ก็ตาม ต้องถือว่าอยู่ในข่ายเป็นการริบทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 วรรคแรกและผู้มีสิทธิเรียกร้องเอาเรือของกลางคืนได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 36 ซึ่งบัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลสั่งให้ริบทรัพย์สินตามมาตรา 33 หรือ 34 ไปแล้ว หากปรากฏในภายหลังโดยคำเสนอของเจ้าของแท้จริงว่าผู้เป็นเจ้าของแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ก็ให้ศาลสั่งให้คืนทรัพย์สิน ถ้าทรัพย์สินนั้นยังคงมีอยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงาน แต่คำเสนอของเจ้าของแท้จริงนั้นจะต้องกระทำต่อศาลภายในหนึ่งปี นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด” และมาตรา 17 แห่งประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติอันเป็นหลักทั่วไปตามที่ได้บัญญัติไว้ในภาค 1 ของประมวลกฎหมายอาญานี้ ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย เว้นแต่กฎหมายนั้น ๆ จะได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ตามที่วินิจฉัยมาแล้วว่าพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 24 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) มาตรา 3 ใช้บังคับเฉพาะกรณีการร้องขอคืนของกลางที่ไม่มีการฟ้องคดีอาญาต่อศาล ส่วนกรณีการร้องขอคืนของกลางที่มีตัวผู้ต้องหาและมีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลนั้นไม่มีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติศุลกากร จึงเรียกไม่ได้ว่าพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ได้บัญญัติกรณีดังกล่าวแล้วไว้เป็นอย่างอื่น

พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 120 บัญญัติไว้ใจความว่าเมื่อใดพระราชบัญญัติศุลกากรแตกต่างกับบทกฎหมายอื่น ให้ยกเอาบทบัญญัติในพระราชบัญญัติศุลกากรขึ้นใช้บังคับ ศาลฎีกาเห็นว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ไม่ได้แตกต่างกับพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 24 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2497 มาตรา 3 แต่ใช้บังคับต่างกรณีกัน และไม่ขัดกัน ดังนี้ จึงจะนำพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 120 มาใช้บังคับไม่ได้

พิพากษากลับ

Share