แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์หลังจากครบกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว จึงเป็นกรณีที่โจทก์ร่วมมิได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ก่อนสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์ โจทก์ร่วมจะยื่นคำร้องดังกล่าวได้ต้องเป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัย ซึ่งเหตุสุดวิสัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 นั้น หมายถึงเหตุที่ทำให้ศาลไม่สามารถมีคำสั่งให้ขยายระยะเวลาหรือคู่ความไม่สามารถมีคำขอเช่นนั้นขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลาที่กฎหมายให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นพฤติการณ์นอกเหนือที่จะกระทำได้ก่อนสิ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้
การที่โจทก์ร่วมและทนายโจทก์ร่วมทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วไม่มาฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งเหตุตามคำร้องถือได้ว่าเป็นความผิดของโจทก์ร่วมที่ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นย่อมอ่านคำพิพากษาไปได้และถือว่าโจทก์ร่วมได้ฟังคำพิพากษานั้นแล้วตาม ป.วิ.อ. มาตรา 182 วรรคสาม และที่ทนายโจทก์ร่วมสอบถามผลคดีจากเจ้าหน้าที่ศาลชั้นต้นโดยไม่ตรวจผลคดีจากคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วยตนเอง เป็นความบกพร่องของทนายโจทก์ร่วม กรณีดังกล่าวจึงมิใช่เหตุสุดวิสัยที่โจทก์ร่วมจะขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ จึงเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์และมีคำสั่งใหม่ให้ยกคำร้องของโจทก์ร่วม และพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 จำคุก 1 เดือน ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 โดยอ่านให้คู่ความฟัง ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์จำเลย สำเนาให้โจทก์แก้ ต่อมา โจทก์ร่วมยื่นอุทธรณ์พร้อมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์โดยอ้างว่า วันนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น ทนายโจทก์ร่วมเดินทางไปสำนักงานที่ดินจังหวัดจันทบุรีและสำนักงานที่ดินอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี เพื่อทำการสืบทรัพย์ของนายสุรสิทธิ์ จึงไม่ได้มาฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น วันรุ่งขึ้นทนายโจทก์ร่วมสอบถามผลคำพิพากษาจากเจ้าหน้าที่แผนกเก็บสำนวนคดีแดง ได้รับแจ้งว่าสำนวนยังไม่ลงมา ต่อมาทนายโจทก์ร่วมสอบถามเจ้าหน้าที่แผนกเก็บสำนวนคดีแดงอีกครั้ง ได้รับแจ้งว่า ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน โทษจำคุกให้เปลี่ยนเป็นโทษกักขัง โจทก์ร่วมเข้าใจว่าโจทก์ร่วมชนะคดีจึงไม่มีเหตุที่โจทก์ร่วมจะยื่นอุทธรณ์ และไม่ทราบว่าศาลชั้นต้นยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ต่อมาโจทก์ร่วมได้รับสำเนาคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลย ทนายโจทก์ร่วมจึงได้ยื่นคำร้องขอถ่ายคำเบิกความพยานโจทก์และพยานจำเลย กับคำพิพากษาศาลชั้นต้น เพื่อใช้แก้อุทธรณ์ของจำเลย เมื่อทนายโจทก์ร่วมได้รับเอกสารจึงทราบว่าศาลชั้นต้นยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เกินกำหนดตามกฎหมาย ทั้งไม่ปรากฏว่ามีเหตุสุดวิสัย จึงไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง ต่อมาโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์จำเลยให้โจทก์ร่วมแก้ โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งโดยผิดหลง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีไม่มีเหตุต้องเพิกถอนคำสั่ง ให้ยกคำร้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นทั้งสองคำสั่ง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมเกี่ยวกับคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมว่า เห็นว่า ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาและแจ้งวันนัดให้คู่ความทราบแล้ว เป็นหน้าที่อันสำคัญของคู่ความจะต้องมาฟังคำพิพากษาหรือติดตามฟังผลของคำพิพากษาด้วยความระมัดระวัง ทั้งนี้ เพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์คำพิพากษาได้อย่างถูกต้องตามความประสงค์ หากมีเหตุทำให้ล่าช้าจนไม่อาจจะใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ ก็จะต้องยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ภายในเงื่อนไขที่กำหนดเสียก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ดังนั้น ข้ออ้างที่ว่า โจทก์ร่วมสอบถามผลคำพิพากษาจากเจ้าหน้าที่ศาลชั้นต้นโดยไม่ยื่นคำร้องขอตรวจสำนวน ทำให้เข้าใจผิดโดยสุจริต จึงถือไม่ได้ว่ามีเหตุสุดวิสัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เพราะยื่นเกินกำหนด และไม่รับอุทธรณ์มานั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง โดยศาลอุทธรณ์ไม่ได้มีคำสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมที่อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
โจทก์ร่วมฎีกา ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ร่วมขยายระยะเวลาอุทธรณ์และรับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วม กับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมที่อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ หรือย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า มีเหตุที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์ให้โจทก์ร่วมหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2552 หลังจากที่ครบกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว จึงเป็นกรณีที่โจทก์ร่วมมิได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ก่อนสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์ โจทก์ร่วมจะยื่นคำร้องดังกล่าวได้ต้องเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย ซึ่งเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 หมายถึงเหตุที่ทำให้ศาลไม่สามารถมีคำสั่งให้ขยายระยะเวลาหรือคู่ความไม่สามารถมีคำขอเช่นนั้นขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลาที่กฎหมายให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นพฤติการณ์นอกเหนือที่จะกระทำได้ก่อนสิ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ดังนี้ การที่โจทก์ร่วมและทนายโจทก์ร่วมทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วไม่มาฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งเหตุตามคำร้องถือได้ว่าเป็นความผิดของโจทก์ร่วมที่ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นย่อมอ่านคำพิพากษาไปได้และถือว่าโจทก์ร่วมได้ฟังคำพิพากษานั้นแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 182 วรรคสาม และที่ทนายโจทก์ร่วมสอบถามผลคดีจากเจ้าหน้าที่ศาลชั้นต้นโดยไม่ตรวจผลคดีจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้นด้วยตนเอง เป็นความบกพร่องของทนายโจทก์ร่วม ที่ทนายโจทก์ร่วมฎีกาว่า ทนายโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอตรวจสำนวนแล้ว แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าสำนวนยังไม่ลงมา ทนายโจทก์ร่วมจึงขอรับคำร้องขอตรวจสำนวนกลับคืน เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ กรณีดังกล่าวจึงมิใช่เหตุสุดวิสัยที่โจทก์ร่วมจะขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ร่วม ศาลฎีกาเห็นพ้อง ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ร่วมอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเกี่ยวกับการส่งสำเนาอุทธรณ์ของจำเลยให้โจทก์ร่วมด้วย แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ร่วม จึงเป็นการไม่ชอบ แต่เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ ให้เพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์และมีคำสั่งใหม่ให้ยกคำร้องของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจึงไม่มีฐานะเป็นโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (14) ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ของจำเลยให้แก่โจทก์ โดยมิได้ให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ของจำเลยให้แก่โจทก์ร่วม จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน