คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1672/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเคยถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีอาญาต่อศาลชั้นต้นในข้อหาหมิ่นประมาท คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง เมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่ง ซึ่งมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกัน ดังนี้ ต้องฟังว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำละเมิดโจทก์ด้วยการกล่าวข้อความใส่ความโจทก์ต่อผู้อื่น อันฝ่าฝืนต่อความจริงเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงและเกียรติคุณ ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์เคยยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานหมิ่นประมาท ตามคำพิพากษาของศาลแขวงพระนครใต้ คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5699/2528 ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์จำนวน 50,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด โจทก์ไม่เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 30,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อคดีในส่วนอาญานั้นได้ถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์ ปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1055/2531 ดังนั้นในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับการกระทำอันเดียวกันนี้เป็นคดีอาญาต่อศาลแขวงพระนครใต้ในข้อหาหมิ่นประมาทเมื่อศาลฎีกาได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาแล้วว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งเกี่ยวกับการกระทำดังกล่าวซึ่งเป็นประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกันว่าจำเลยได้กล่าวข้อความใส่ความโจทก์ต่อผู้อื่นอันฝ่าฝืนต่อความจริงหรือไม่ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เช่นนี้การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์.

Share