คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1670/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานลักทรัพย์จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธและนำสืบอ้างฐานที่อยู่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานลักทรัพย์แต่มิได้วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดฐานรับของโจรหรือไม่เมื่อโจทก์เป็นว่าข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานที่นำสืบจำเลยที่1ถึงที่3มีความผิดฐานรับของโจรซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสามโจทก์จึงอุทธรณ์ให้ลงโทษจำเลยที่1ถึงที่3ในความผิดฐานรับของโจรได้

ย่อยาว

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกับคดีหมายเลขแดงที่ 803/2536 ของศาลชั้นต้น แต่เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้วคู่ความในสำนวนคดีดังกล่าวมิได้ฎีกา จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะสำนวนในคดีนี้
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2535 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสี่ นายชาลีหรือหนึ่ง สมสุข และนายวิมานบานเย็น ซึ่งเป็นเยาวชน ร่วมกันใช้วัตถุของแข็งงัดทำลายสายยูและกุญแจประตูบ้านพักของนางน้ำมนต์ เพ็ญภู่ ผู้เสียหายจนหักเปิดออก อันเป็นการทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ แล้วเข้าไปในบ้านพักอันเป็นเคหสถานที่ผู้เสียหายใช้เป็นที่อยู่อาศัยโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วร่วมกันลักทรัพย์สินเป็นเงิน 31,000 บาท ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องไปโดยทุจริตต่อมาวันที่ 26 มีนาคม 2535 เจ้าพนักงานจับนายชาลีได้พร้อมเครื่องรับโทรทัศน์ 1 เครื่อง ราคา 12,000 บาท เครื่องขยายเสียง1 เครื่อง ราคา 6,800 บาท และวันที่ 28 มีนาคม 2535 เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสี่ได้ ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 83 คืนของกลางแก่ผู้เสียหายและให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 6 รายการ เป็นเงิน 12,300 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก จำคุกคนละ 2 ปี คืนของกลางแก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นประการแรกว่า โจทก์จะอุทธรณ์ขอให้ลงโทษ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในความผิดฐานรับของโจรได้หรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานลักทรัพย์ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานลักทรัพย์ โจทก์ไม่อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานลักทรัพย์ แต่กลับอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในความผิดฐานรับของโจรมีองค์ประกอบความผิดแตกต่างกับข้อนำสืบของโจทก์ จึงขัดต่อกฎหมายโดยชัดแจ้งนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสาม บัญญัติให้ศาลพิพากษายกฟ้อง หากศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญ ทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้ และในกรณีที่ข้อแตกต่างนั้นเป็นเพียงรายละเอียดหรือต่างกันระหว่างการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ฉ้อโกง โกงเจ้าหนี้ ยักยอกรับของโจร และทำให้เสียทรัพย์มิให้ถือว่าแตกต่างในข้อสาระสำคัญทั้งมิให้ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้นเป็นเรื่องเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ เว้นแต่จะปรากฏแก่ศาลว่าการที่ฟ้องผิดไปนั้นเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ตามบทกฎหมายดังกล่าวหากข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องระหว่างการกระทำผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจร และจำเลยมิได้หลงต่อสู้ กฎหมายมิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งมิให้ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้นเป็นเรื่องเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษและศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้ซึ่งคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานลักทรัพย์และนำสืบข้อเท็จจริงต่อศาลโดยจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธและนำสืบอ้างฐานที่อยู่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานลักทรัพย์แต่มิได้วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดฐานรับของโจรหรือไม่ เมื่อโจทก์เห็นว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ จำเลยทั้งสี่ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์แต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีความผิดฐานรับของโจร ซึ่งศาลมีอำนาจที่จะลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคสาม โจทก์จึงชอบที่จะอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในความผิดฐานรับของโจรตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 มีว่า ศาลอุทธรณ์มีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ในความผิดฐานรับของโจรได้หรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ฎีกาว่า คดีนี้พยานโจทก์ยืนยันว่ามีการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ผู้เสียหายและโจทก์มีประจักษ์พยานยืนยันโดยชัดแจ้งว่าเห็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นผู้ลักทรัพย์ จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ลักทรัพย์ จะฟังว่าเป็นผู้รับของโจรไม่ได้เพราะผู้กระทำผิดฐานรับของโจรจะต้องเป็นผู้อื่น มิใช่ผู้ที่ร่วมกันลักทรัพย์ ทั้งคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ข้อหาเดียว จึงมิใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฐานรับของโจรนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์นำสืบพยานหลักฐานว่าจำเลยทั้งสี่กระทำผิดฐานลักทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าคนร้ายลักทรัพย์ผู้เสียหายจริง แต่พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานลักทรัพย์ พิพากษายกฟ้องโจทก์ และโจทก์ไม่อุทธรณ์ในข้อหาความผิดฐานลักทรัพย์ จึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสี่มิได้กระทำผิดฐานลักทรัพย์ คงมีปัญหาในชั้นอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กระทำผิดฐานรับของโจรหรือไม่เท่านั้นและเมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิได้เป็นผู้กระทำความผิดฐานลักทรัพย์จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงอาจมีความผิดฐานรับของโจรได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาแล้วเห็นว่า พยานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ไปยังที่ซ่อนของกลางจริง และพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฟังได้ว่าเป็นการช่วยพาเอาไปเสียซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีความผิดฐานรับของโจร และพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฐานรับของโจรนั้น ถือได้ว่าเป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องระหว่างการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจร ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคสาม มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญและไม่เป็นเรื่องเกินคำขอหรือเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษและคดีนี้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธและนำสืบอ้างฐานที่อยู่ซึ่งแสดงว่าจำเลยทั้งสามมิได้หลงต่อสู้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในความผิดฐานรับของโจรตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสาม ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share