แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีอากรให้จำเลยชำระเพิ่มเติมจำเลยอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีหน้าที่ตรวจสอบคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และมีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลง ยกเลิก เพิกถอนคำสั่งนั้นได้ตามที่เห็นสมควร ดังนี้เมื่อยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ กรมสรรพากรโจทก์จึงไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า บริษัทจำเลยที่ ๑ จดทะเบียนเลิกบริษัทเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๒๕ และจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๒๕ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๘ เป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ ๑ และได้รับส่วนแบ่งเงินทุนคืน ระหว่างปี ๒๕๒๓ ถึง ๒๕๒๕ จำเลยที่ ๑ ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีไม่ครบถ้วน เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินให้จำเลยที่ ๑ เสียภาษี จำเลยที่ ๑ ขอลดเงินเพิ่ม เบี้ยปรับ โจทก์ลดให้และคงเรียกเก็บภาษีจากจำเลยที่ ๑ ทั้งสิ้น ๑,๖๓๑,๕๙๖.๙๔ บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวนดังกล่าว โดยให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๘ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ตามจำนวนเงินที่แต่ละคนรับไป
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ และที่ ๘ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์การประเมินแล้ว ยังไม่ได้รับคำวินิจฉัยจากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง ฟ้องเคลือบคลุม
จำเลยที่ ๗ ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งแปดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามบทบัญญัติมาตรา ๒๙, ๓๐ แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อมีการประเมินภาษีอากรแล้ว ผู้มีหน้าที่จะต้องเสียภาษีอากร จะอุทธรณ์การประเมินไปยังผู้มีหน้าที่พิจารณาอุทธรณ์หรือคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็ได้แล้วแต่กรณี เว้นแต่จะต้องห้ามตามกฎหมายมิให้อุทธรณ์การประเมิน ที่กฎหมายบัญญัติไว้ดังนี้ ก็เพื่อให้ผู้มีหน้าที่พิจารณาอุทธรณ์ได้ตรวจสอบคำสั่งของผู้ประเมินหรือเจ้าพนักงานประเมินว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ประการใด เมื่อพิจารณาแล้วผู้มีหน้าที่ในการพิจารณาอุทธรณ์ มีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลง ยกเลิก เพิกถอนคำสั่งนั้นได้ตามที่เห็นสมควร โดยทำคำวินิจฉัยเป็นหนังสือแจ้งไปยังผู้อุทธรณ์ตามที่มาตรา ๓๔ แห่งประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้ คดีนี้จำเลยที่ ๑ ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์การประเมินแล้ว คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยังไม่มีคำวินิจฉัย ดังนี้ จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้ค่าภาษีโจทก์ตามที่แจ้งการประเมินไปซึ่งจำเลยอื่น ๆ จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ หรือไม่ อาจจะถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข โดยคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็ได้ ชอบที่จะต้องรอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เสียก่อน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ไม่มีประมวลรัษฎากรมาตราใดบัญญัติห้ามมิให้โจทก์ฟ้องคดีระหว่างรอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า หากตีความเช่นนั้น บทบัญญัติเรื่องอุทธรณ์การประเมินต่อผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากรก็จะไร้ประโยชน์ ส่วนเหตุผลของโจทก์ที่ปรากฏในคำแก้ฎีกาที่ว่า เมื่อมีการประเมินแล้ว ถ้าไม่เสียภาษีอากรภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ให้ถือว่าเป็นภาษีอากรค้างตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๒ บังคับชำระหนี้ได้ จึงนำคดีมาฟ้องได้ด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าปัญหาเรื่องภาษีอากรค้างกับการนำคดีมาฟ้องเป็นคนละปัญหา นำมาเทียบเคียงกันไม่ได้
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น