คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 167/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานระบุตำแหน่งของพยานโดยประสงค์จะอ้างบุคคลที่ดำรงตำแหน่งในขณะนั้นเป็นพยาน ถือได้ว่าจำเลยยื่นบัญชีระบุพยานโดยระบุชื่อและที่อยู่ของพยานที่ประสงค์จะอ้างเป็นพยานของจำเลยแล้ว บัญชีระบุพยานของจำเลยดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินไป ๒๐,๐๐๐ บาท ขอผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ ๓,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย นับแต่กู้เงินไปจำเลยไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า สัญญากู้เงินปลอม จำเลยไม่เคยกู้เงินและรับเงินโจทก์ตามฟ้อง ลายมือชื่อผู้กู้ไม่ใช่ลายมือจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาว่า ตามบัญชีระบุพยานลงวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๒๔ ของจำเลย ระบุตำแหน่งหัวหน้าแผนกทะเบียนและสถิติ กองทะเบียนตรวจคนเข้าเมื่อ (ที่ถูกน่าจะเป็นกองตรวจคนเข้าเมือง) กรมตำรวจ เป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๘ วรรคแรก ที่ให้ยื่นบัญชีรายชื่อบุคคลมิใช่ชื่อตำแหน่ง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเท่ากับจำเลยไม่ได้ระบุพยานไม่มีสิทธิที่จะนำสืบพันตำรวจโทไพบูลย์ ได้นั้น เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๘ กฎหมายให้ยื่นบัญชีรายชื่อและที่อยู่ของพยานที่ประสงค์จะอ้างเป็นพยาน ดังนั้น การที่จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานว่า “หัวหน้าแผนกทะเบียนและสถิติ กองทะเบียนตรวจคนเข้าเมือง ( ที่ถูกน่าจะเป็นกองตรวจคนเข้าเมือง ) กรมตำรวจ ” แสดงว่าจำเลยประสงค์จะอ้างบุคคลที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวในขณะนั้นเป็นพยาน จึงถือได้ว่าจำเลยยื่นบัญชีระบุพยานโดยระบุชื่อและที่อยู่ของพยานที่ประสงค์จะอ้างเป็นพยานของจำเลยแล้ว บัญชีระบุพยานของจำเลยดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย เมื่อศาลออกหมายเรียกไปตามบัญชีระบุพยานและมีพันตำรวจโทไพบูลย์ ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกทะเบียนและสถิติ กองทะเบียนตรวจคนเข้าเมือง ( ที่ถูกน่าจะเป็นกองตรวจคนเข้าเมือง ) ในขณะนั้นมาศาล ศาลชั้นต้นให้จำเลยนำสืบและรับฟังพยานปากนี้จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share