แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ป.พ.พ. มาตรา 1360 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ มีสิทธิใช้ทรัพย์สินได้ แต่การใช้นั้นต้องไม่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่นๆ” ดังนั้นเมื่อที่ดินกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ยังไม่มีการแบ่งแยกการครอบครองออกเป็นส่วนสัด การใช้ทรัพย์สินกรรมสิทธิ์รวมของจำเลยที่ 1 จึงต้องเป็นการใช้ที่ไม่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่นๆ ที่จำเลยที่ 1 ปลูกสร้างอาคารโดยเลือกบริเวณติดถนนสุขุมวิท โดยไม่ได้รับความยินยอมของเจ้าของรวมคนอื่นจึงไม่มีสิทธิที่จะทำได้ โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินพิพาทได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 1128 ตำบลวังกระแจ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2541 จำเลยที่ 1 เข้าไปปลูกสร้างอาคารคอนกรีตมีลักษณะถาวรลงในที่ดินดังกล่าวทางด้านทิศตะวันออกติดถนนสุขุมวิท โดยเจตนาครอบครองที่ดินส่วนนั้นอย่างเป็นเจ้าของและเก็บผลประโยชน์เพียงผู้เดียว โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสี่จดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดพิพาทให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ หากไม่สามารถแบ่งที่ดินกันได้ให้นำที่ดินออกขายในระหว่างเจ้าของรวม หากขายในระหว่างเจ้าของรวมไม่ได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งปันกันตามส่วนของแต่ละคน และให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยที่ 1 ปลูกสร้างสิ่งใดๆ ลงในที่ดินพิพาทอีกต่อไป
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ปลูกสร้างร้านค้าเพื่อขายอาหารชั่วคราวลงในที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันออก มิได้ก่อสร้างอาคารแบบถาวรตามที่โจทก์กล่าวอ้างทั้งเมื่อเริ่มเข้าปลูกสร้างโจทก์ก็ทราบดีแต่มิได้คัดค้านแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทจำนวน 2 ไร่ ได้ปลูกสร้างร้านค้าลงในที่ดินพิพาทเนื้อที่เพียงเล็กน้อยไม่เกินสิทธิที่จำเลยที่ 1 มีอยู่ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่จดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1128 ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด ให้แก่โจทก์ จำนวนเนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน 32 2/10 ตารางวา หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ หากไม่สามารถแบ่งที่ดินกันได้ให้นำที่ดินออกขายในระหว่างเจ้าของรวม หากขายในระหว่างเจ้าของรวมไม่ได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งปันกันตามส่วนของแต่ละคน และให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยที่ 1 ปลูกสร้างสิ่งใดๆ ลงในที่ดินพิพาทอีกต่อไป
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้รื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารติดถนนสุขุมวิท ซึ่งโจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ก็ทราบ การที่ไม่โต้แย้งคัดค้านจึงเป็นการที่โจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้ความยินยอมแล้ว อีกทั้งอาคารดังกล่าวเป็นเพียงอาคารชั่วคราวแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาที่จะครอบครองหรือรบกวนสิทธิของเจ้าของรวมคนอื่นแต่อย่างใด นอกจากนี้จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมมีสิทธิเก็บดอกผลตามส่วนของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1360 วรรคสอง การที่จำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารเพื่อขายอาหารนั้นเป็นการที่จำเลยที่ 1 เก็บดอกผลตามส่วนของตนในทรัพย์ดังกล่าว เห็นว่า ในปัญหาข้อนี้จำเลยที่ 1 รับในฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในที่ดินพิพาทโดยยังไม่ได้แบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัด ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1360 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ มีสิทธิใช้ทรัพย์สินได้ แต่การใช้นั้นต้องไม่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่นๆ ดังนั้นเมื่อฟังว่ายังไม่มีการแบ่งแยกการครอบครองออกเป็นส่วนสัดในที่ดินกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 การใช้ทรัพย์สินกรรมสิทธิ์รวมของจำเลยที่ 1 จึงต้องเป็นการใช้ที่ไม่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่นๆ ที่จำเลยที่ 1 ปลูกสร้างอาคารโดยเลือกบริเวณติดถนนสุขุมวิทโดยไม่ได้รับความยินยอมของเจ้าของรวมคนอื่นจึงไม่มีสิทธิที่จะทำได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินพิพาทได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน