คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1661/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยเสียสัญชาติไทยโดยการสมรสกับคนต่างด้าว ดังนี้ปัญหาที่ว่าจำเลยยังเป็นคนไทยหรือต่างด้าวนั้นต้องพิจารณาตาม พ.ร.บ.สัญชาติซึ่งใช้อยู่ขณะจำเลยทำการสมรส กล่าวคือ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2456 ม.4เมื่อโจทก์ไม่ได้สืบตาม พ.ร.บ.นี้ให้ปรากฎว่า ก.ม.แห่งสัญชาติสามีบัญญัติให้หญิงไทยถือเอาสัญชาติของสามีได้ ดังนี้ถือว่าจำเลยสละสัญชาติไทยแล้วไม่ได้
พ.ร.บ.การทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2479 ม.7 ซึ่งบัญญัติว่า “หญิงซึ่งมีสัญชาติไทย ถ้าต้องสละสัญชาติไทยเพราะสมรสกับคนต่างด้าวให้ไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว” นั้นหาได้หมายความว่าหญิงไทยที่สมรสกับคนต่างด้าวและไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแล้วถือว่าสละสัญชาติไทยไม่
เมื่อถือว่าจำเลยไม่ได้สละสัญชาติไทยคือยังเป็นคนไทยอยู่ก็ไม่จำต้องให้จำเลยร้องฟ้องขอให้ได้มาซึ่งสัญชาติหรือฟ้งอร้องผู้โต้แย้งตนว่าไม่ใช่คนไทย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้เคยได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแล้วแต่เมื่อ ๒๕ พ.ค.๘๕ จำเลยขาดจากสัญชาติไทยตาม พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๔๙๖ จำเลยเป็นคนต่างด้าวมีใบสำคัญประจำตัวที่ใช้ไม่ได้มีอายุถึง ๘ ก.ค. ๘๘ ซึ่งหมดอายุแล้ว จำเลยมิได้ต่อตลอดมาจนถึงบัดนี้ ใบสำคัญต่างด้าวของจำเลยใช้ไม่ได้ตาม พ.ร.บ. การทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.๒๔๗๙ ต่อมาได้มี พ.ร.บ.ต่างด้าว พ.ศ.๒๔๙๓ จำเลยมิได้จัดการอย่างไรตาม ก.ม.จำเลยจึงเป็นคนต่างด้าวไม่มีใบสำคัญประจำตัวตาม พ.ร.บ.ต่างด้าว พ.ศ.๒๔๙๓ จำเลยบังอาจไม่มีใบสำคัญประจำคนต่างด้าวนับแต่ พ.ศ.๒๔๙๓ ถึง ๒๔๙๗ โดยมิได้รับยกเว้นตาม ก.ม.ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ ม.๕,๒๐ พ.ร.บ.ต่างด้าว(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๕ ม.๔
จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยเป็นคนไทยโดยกำเนิดไม่เคยโอนเป็นคนต่างด้าวตาม ก.ม.เพราะที่ไปรับใบสำคัญต่างด้าวเพราะจำเลยมีสามีต่างด้าวการที่จำเลยรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามสามีไม่ทำให้จำเลยกลับกลายเป็นคนต่างด้าว หากจะฟังว่าการที่จำเลยมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว แล้วคดีโจทก์ก็ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าปัญหาที่ว่าจำเลยเป็นคนสัญชาติไทยหรือว่าเป็นคนต่างด้าวจำต้องพิจารณาตาม พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. ๒๔๕๖ ม.๔ซึ่งใช้อยู่ในขณะจำเลยสมรสดังที่ศาลชั้นต้นได้ยกขึ้นกล่าวมาเมื่อโจทก์ไม่ได้สืบให้ปรากฎว่า ก.ม.แห่งชาติสามีบัญญัติให้หญิงไทยถือเอาสัญชาติของสามีได้ จึงถือว่าจำเลยสละสัญชาติไทยไม่ได้ และตาม พ.ร.บ. พ.ศ.๒๔๙๕ ม.๑๓ นอกจากจะบัญญัติทำนองเดียวกันแล้ว ยังบัญญัติเพิ่มเติมอีกว่า “และหญิงนั้นได้แสดงเจตนาจำนงโดยชัดแจ้งสละสัญชาติไทยต่อนายทะเบียนสมรส” ด้วย ฉนั้นการที่จำเลยไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตาม ก.ม.ว่าด้วยคนต่างด้าวนั้นหาทำให้จำเลยขาดจากสัญชาติไทยเพราะเป็นคนต่างด้าวไม่ ตาม พ.ร.บ.ต่างด้าวที่โจทก์อ้างมาในฎีกานั้น หมายความแต่เพียงว่าหญิงไทยซึ่งถือต้องสละสัญชาติไทยตาม ก.ม.สัญชาติเพราะสมรสกับคนต่างด้าวให้ไปขอรับใบสำคัญประจำตัว ฯ หาได้หมายความว่าหญิงไทยที่สมรสกับคนต่างด้าวและไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแล้วถือว่าสละสัญชาติไทยดังโจทก์ฎีกาไม่
เมื่อถือว่าจำเลยไม่ได้สละสัญชาติไทย จำเลยยังเป็นคนไทยอยู่ก็ไม่จำเป็นจะต้องให้จำเลยร้องฟ้องขอให้ได้มาซึ่งสัญชาติหรือฟ้องร้องผู้โต้แย้งตนว่าไม่ใช่คนไทยดังโจทก์ฎีกา และที่โจทก์ฎีกาเกี่ยวกับข้อที่ว่ากรณีนี้จำเลยรับชั้นสอบสวนว่าบิดาจำเลยเป็นคนต่างด้าวนั้นก็เป็นเรื่องฟังข้อเท็จจริง ไม่ใช่เรื่องลืมแก้เอกสาร ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share