คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 166/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อผลการตรวจค้นตัว ว. ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย จึงไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่า ว. ได้กระทำความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองต่อไปอีก จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจไม่มีอำนาจจับกุม ว. สมควรที่จำเลยที่ 1 จะต้องปล่อยตัว ว. ไป การที่จำเลยที่ 1 ยังจับกุม ว. จากศาลาท่าน้ำนำตัวไปไว้ที่สะพานข้ามคลองแสนแสบจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
วันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ออกปฏิบัติหน้าที่คู่กับจำเลยที่ 1 โดยใช้รถจักรยานยนต์คันเดียวกับจำเลยที่ 1 และอยู่ด้วยกันกับจำเลยที่ 1 ตั้งแต่เริ่มตรวจค้นจับกุมจนกระทั่งปล่อยตัว ว. ขณะที่จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์นำ ว. ไปที่ใต้สะพานข้ามคลองแสนแสบโดย ว. นั่งกลาง จำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายมีลักษณะควบคุมตัว ว. ไม่ให้หลบหนีทั้งระหว่างที่จำเลยที่ 1 เรียกร้องเงินจนถึงรับเงินจาก ว. จำเลยที่ 2 ก็อยู่ในบริเวณเดียวกันนั้น เมื่อได้รับเงินแล้วจำเลยที่ 2 ก็นั่งรถจักรยานยนต์ออกไปจากที่เกิดเหตุพร้อมกับจำเลยที่ 1 พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 148, 157 นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1992/2543 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 148 ลงโทษจำคุกคนละ 5 ปี คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันรับฟังเป็นที่ยุติได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังกล่าวในฟ้อง จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลวังทองหลางได้จับกุมนายวินัย มินเจริญ ในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลาท่าน้ำริบคลองแสนแสบบริเวณชุมชนบึงพระราม 9 บ่อ 3 แล้วควบคุมตัวไปที่ใต้สะพานข้ามคลองแสนแสบห่างศาลาท่าน้ำประมาณ 400 เมตร แต่ต่อมาไม่นานได้ปล่อยตัวไป มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า นายวินัยเป็นบุคคลต้องสงสัยว่าได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ จำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจตรวจค้นและจับกุมเพื่อส่งพนักงานสอบสวนได้โดยชอบนั้น เห็นว่า โจทก์มีนายวินัยเป็นพยานยืนยันว่า จำเลยที่ 1 เข้าไปขอตรวจค้นตัวพยาน แต่ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า นายวินัยโยนสิ่งของลงไปในลำคลองนั้น ได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ตอบคำถามค้านว่า สิ่งของที่โยนลงไปนั้นไม่ทราบว่าเป็นอะไรเนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่เห็นและไม่ได้ลงไปเก็บ ซึ่งเจือสมกับคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกไพโรจน์ โชติวรรณ พยานโจทก์ที่ว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้แจ้งทางวิทยุให้พยานซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้ออกไปสืบสวนหาข่าวผู้ลักลอบจำหน่ายยาเสพติดบริเวณชุมชนบึงพระราม 9 ต่อมาประมาณ 2 ชั่วโมง จำเลยที่ 1 ได้วิทยุแจ้งแก่พยานว่าได้ตรวจค้นผู้ต้องสงสัย ไม่พบการกระทำความผิดและได้ปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยไป จึงรับฟังไม่ได้ว่านายวินัยได้โยนสิ่งของซึ่งมีไว้เป็นความผิดลงในลำคลองตามที่จำเลยที่ 1 ต่อสู้ ดังนั้น เมื่อผลการตรวจค้นไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย กรณีไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่านายวินัยได้กระทำความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองอีกต่อไปอีก ซึ่งย่อมทำให้จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจจับกุมนายวินัย จึงเป็นการสมควรที่จำเลยที่ 1 จะต้องปล่อยตัวนายวินัยไป การที่จำเลยที่ 1 ยังจับกุมนายวินัยจากศาลาท่าน้ำนำตัวไปไว้ที่ใต้สะพานข้ามคลองแสนแสบเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 จะนำตัวนายวินัยไปสถานีตำรวจแต่ถูกพวกญาติของนายวินัยขัดขวางไว้ จึงต้องนำตัวมาไว้ที่ใต้สะพานข้ามคลองแสนแสบและวิทยุแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ผู้บังคับบัญชาให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการตามความเหมาะสม จำเลยที่ 1 เห็นว่าจับของกลางไม่ได้ จึงปล่อยตัวนายวินัยโดยไม่ได้เรียกหรือรับเงินจากนายเซ็มบิดาของนายวินัยนั้น ในข้อนี้โจทก์มีนายเซ็มเบิกความว่าหลังจากทราบว่านายวินัยถูกจับพยานไปที่ศาลาท่าน้ำพบจำเลยที่ 1 กำลังล็อกคอนายวินัย พยานพูดว่าประเสริฐนี่ลูกชายผม จำเลยที่ 1 พูดว่านี่ลูกชายบังหรือ จำเลยที่ 1 ปล่อยนายวินัยแล้วอีกครู่หนึ่งก็บอกให้พยานไปคุยกันที่ใต้สะพานข้ามคลอง พยานชวนนายมานะ ยิ้มใย ให้เดินตามไปด้วยกัน เมื่อถึงใต้สะพานนายมานะเข้าไปคุยกับจำเลยที่ 1 ประมาณ 2 ถึง 3 นาที ก็ยกมือชูห้านิ้ว พยานเข้าใจว่าหมายถึงเงิน 5,000 บาท พยานกลับไปหาเงินในชุมชนบึงพระราม 9 พบนางนิด จีนถนอม จึงขอยืมเงิน นางนิดบอกไม่มี พยานขอยืมเงินได้จากนางสำอางค์ สมบูรณ์ แล้วมาขึ้นรถยนต์รกระบะของนายมานะไปที่ใต้สะพานข้ามคลองแสนแสบที่จำเลยที่ 1 กับพวกรออยู่ พยานเห็นนายรอปิก เจริญสง่า ยืนอยู่ที่โคนเสาใต้ทางด่วนห่างจำเลยที่ 1 ประมาณ 20 เมตร นายรอปิกยกมือชู 4 นิ้ว พยานเข้าใจว่าหมายถึงเงิน 4,000 บาท จึงส่งเงินให้นายมานะ 4,000 บาท เพื่อนำไปมอบให้แก่จำเลยที่ 1 นายมานะประธานชุมชนบึงพระราม 9 เบิกความว่า พยานได้พูดคุยกับจำเลยที่ 1 เรื่องที่นายวินัยถูกจับ จำเลยที่ 1 บอกว่านายวินัยมีของโดยจำเลยที่ 1 นำยาเม็ดสีขาวบรรจุในซองยามาให้พยานดู และพูดว่าหากไปศาลต้องถูกปรับ 10,000 บาท คุยกันที่นี่ต้องเสียเงิน 5,000 บาท พยานเข้าใจว่าหากจ่ายเงิน 5,000 บาท แล้วเจ้าพนักงานตำรวจจะปล่อยตัวนายวินัย พยานยกมือชูห้านิ้วเป็นสัญญาณบอกแก่นายเซ็มทราบ ฝ่ายนายเซ็มไปหาเงินในชุมชนบึงพระราม 9 ได้เงินแล้วมาพบพยานพากันขึ้นรถยนต์กระบะของพยานไปยังใต้สะพานที่จำเลยที่ 1 รออยู่ พบนายรอปิกยืนอยู่ที่ชายคลองใกล้จุดที่เจ้าพนักงานตำรวจยืนอยู่ นายรอปิกยกมือชู 4 นิ้ว แล้วเดินมาบอกว่าเหลือ 4,000 บาท นายเซ็มส่งเงินจำนวน 4,000 บาท ให้แก่พยาน พยานนำเงินจำนวนดังกล่าวไปมอบให้แก่จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ขับถรจักรยานยนต์โดยมีจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายแล่นออกไป นางนิด จีนถนอม เบิกความว่า นายเซ็มมาขอยืมเงินพยาน 5,000 บาท แต่พยานไม่มีให้ และได้เดินเข้าไปหาจำเลยที่ 1 พูดต่อรองเหลือ 4,000 บาท เมื่อเดินออกมาพบนายรอปิก จึงบอกนายรอปิกว่าจำเลยที่ 1 ลดให้เหลือ 4,000 บาท ให้ไปบอกนายเซ็มและนายมานะให้ทราบด้วย นายรอปิกเบิกความว่า พยานเห็นจำเลยทั้งสองพานายวินัยจากศาลาท่าน้ำไปที่ใต้สะพานข้ามคลองแสนแสบ จึงเดินไปดู พบนางนิดบอกแก่พยานว่าจำเลยที่ 1 เรียกเงิน 5,000 บาท ได้ต่อรองแล้วเหลือ 4,000 บาท ให้ไปบอกนายเซ็มและนายมานะ ต่อมานายเช็มและนายมานะนั่งรถยนต์กระบะมาถึง พยานยกมือชู 4 นิ้วให้นายเซ็มดูแสดงความหมายว่าเหลือ 4,000 บาท นายเซ็มเดินไปคุยกับนายมานะแล้วเห็นนายมานะเดินไปหาจำเลยที่ 1 ส่งสิ่งของเข้าใจว่าเป็นเงินให้แก่จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยทั้งสองนั่งรถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันออกไป โดยมีนางสำอางค์ สมบูรณ์ มาเบิกความรับรองว่าได้ให้นายเซ็มยืมเงินจำนวน 5,000 บาท ไปในวันเกิดเหตุจริง เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งห้าต่างเบิกความถึงเหตุการณ์ที่แต่ละคนพบเห็นมาได้สอดคล้องและเชื่อมโยงกันโดยไม่มีข้อพิรุธ เริ่มตั้งแต่ที่นายเซ็มไปที่ศาลาท่าน้ำที่เกิดเหตุพูดคุยกับจำเลยที่ 1 เรื่องที่นายวินัยถูกจับ จำเลยที่ 1 บอกให้ไปคุยกันใต้สะพาน นายเซ็มชวนนายมานะให้ไปด้วยกัน นายมานะเข้าไปพูดคุยกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เรียกเงิน 5,000 บาท นายมานะส่งสัญญาณบอกนายเซ็มให้รู้ นายเซ็มไปขอยืมเงินจากนางนิดแต่ไม่ได้ แล้วนางนิดเข้าไปเจรจาต่อรองจำเลยที่ 1 ให้ลดจำนวนเงินลงเหลือ 4,000 บาท และนางนิดบอกนายรอปิกให้ไปบอกนายมานะให้ทราบถึงจำนวนเงินที่ต่อรองได้ จนกระทั่งนายเซ็มไปขอยืมเงินจากนางสำอางค์ได้แล้วมอบเงินนั้นให้นายมานะนำไปมอบให้จำเลยที่ 1 ภายหลังจากได้รับเงินแล้วจำเลยทั้งสองขับรถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันออกไปโดยจำเลยที่ 1 เป็นคนขับ เมื่อไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์ทั้งห้าเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองมาก่อน จึงน่าเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งห้าเบิกความไปตามความเป็นจริง มิได้กลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยทั้งสองแต่ประการใด ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า เหตุที่ต้องนำนายวินัยไปไว้ที่ใต้สะพานแทนที่จะนำส่งสถานีตำรวจเป็นเพราะถูกญาติของนายวินัยขัดขวางนั้น ขัดต่อเหตุผลไม่น่าเชื่อถือเพราะที่เกิดเหตุอยู่ไม่ไกลจากสถานีตำรวจนครบาลวังทองหลาง สามารถวิทยุขอกำลังมาสนับสนุนได้ทัน แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้วิทยุแจ้งเรื่องนี้ให้ผู้บังคับบัญชาทราบมาก่อน และที่อ้างว่าถูกพันตำรวจโทพรชัย ชลอเดช สารวัตรสืบสวนซึ่งเคยขอให้จำเลยที่ 1 ปล่อยผู้ต้องหาคดีการพนันแต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอม ทำให้พันตำรวจโทพรชัยไม่พอใจหาเหตุกลั่นแกล้งจำเลยที่ 1 ก็เป็นแต่เพียงคำกล่าวอ้างขึ้นลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้น่าเชื่อถือเช่นกัน พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมารับฟังได้โดยไม่มีข้อสงสัยว่าภายหลังจากที่จำเลยทั้งสองจับกุมนายวินัยไปที่ใต้สะพานข้ามคลองแสนแสบแล้ว จำเลยที่ 1 ได้เรียกและรับเงินจากนายเซ็มบิดาของนายวินัยจำนวน 4,000 บาท แล้วจึงปล่อยตัวนายวินัย อันเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งเจ้าพนักงานตำรวจโดยมิชอบข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลอื่นมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินแก่ตนเองตามฟ้อง
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกระทำความผิดด้วยนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 ออกปฏิบัติหน้าที่คู่กับจำเลยที่ 1 ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 เดินทางมาโดยรถจักรยานยนต์คันเดียวกับจำเลยที่ 1 และอยู่ด้วยกันกับจำเลยที่ 1 ตั้งแต่เริ่มตรวจค้นจับกุมจนกระทั่งปล่อยตัวนายวินัย ขณะที่จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์นำนายวินัยไปที่ใต้สะพานข้ามคลองแสนแสบโดยนายวินัยนั่งกลาง จำเลยที่ 2 ก็นั่งซ้อนท้ายมีลักษณะควบุคมตัวนายวินัยไม่ให้หลบหนี ระหว่างที่จำเลยที่ 1 เรียกร้องเงินจนถึงรับเงิน จำเลยที่ 2 ก็อยู่ในบริเวณเดียวกันนั้น เมื่อได้รับเงินแล้วจำเลยที่ 2 ก็นั่งรถจักรยานยนต์ออกไปจากที่เกิดเหตุพร้อมกับจำเลยที่ 1 พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจให้บุคคลอื่นหามาให้ซึ่งทรัพย์สินแก่ตนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share