แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ ในการทำแผนที่พิพาทเมื่อโจทก์นำชี้เขตที่ดินที่อ้างว่าเป็นของโจทก์นั้น ย. โต้แย้งว่าโจทก์ชี้รุกล้ำเข้าไปในที่ของ ย. ซึ่งที่ดินส่วนนั้นจำเลย.ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลย ดังนี้โจทก์จะขอให้เรียก ย. เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้หาได้ไม่
โจทก์หาว่าจำเลยบุกรุกที่ดินมือเปล่าของโจทก์ แล้วโจทก์ไม่กล้าเข้าทำประโยชน์ในที่ส่วนนั้นอีก เพียงแต่ไปร้องเรียนต่อพนักงานสอบสวนและตำรวจเท่านั้น ดังนี้เมื่อเป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้วนับแต่ถูกแย่งการครอบครอง โจทก์ย่อมหมดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าเป็นของจำเลยและฟ้องแย้งขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย คำฟ้องแย้งเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องกล่าวว่า โจทก์บุกรุกที่ของจำเลยเมื่อใด ตรงไหน โจทก์ก็เข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว และคำฟ้องแย้งของจำเลยเช่นนี้ ไม่ใช่การฟ้องเรียกคืนการครอบครอง จึงไม่เกี่ยวกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375
คู่ความได้ว่ากล่าวกันมาแต่ศาลชั้นต้นแต่เพียงว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองไปจากโจทก์เกิน 1 ปี อันเป็นเหตุให้โจทก์หมดสิทธิเรียกคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 แล้วหรือไม่เท่านั้น ถ้าโจทก์เพิ่งกล่าวอ้างในชั้นฎีกาว่า ต้องใช้อายุความทางอาญาแทนอายุความทางแพ่ง ดังนี้ ย่อมต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินตามแผนที่ท้ายฟ้อง เนื้อที่ประมาณ 150 ไร่เศษ เดิมเป็นของนายเช็งซุยกับพวก เมื่อ พ.ศ. 2504 นายเช็งซุย ขายที่หมายเลข 1 และ 3 ให้โจทก์และ พ.ศ. 2505 นายจันทร์ขายที่หมายเลข 2 ให้โจทก์ เมื่อระหว่างเมษายนถึงกรกฎาคม 2508 จำเลยทุกคนกับพวกที่โจทก์ยังไม่ได้ฟ้อง ได้บังอาจบุกรุกเข้าไถและขุดดินในที่ดินแปลงหมายเลข 3 ทั้งหมด และในที่ดินแปลงหมายเลข 1 และ 2 บางส่วน แล้วปลูกมันและถั่วรวม 90 ไร่ ทำให้โจทก์เสียหายไม่น้อยกว่าปีละ 27,710 บาท ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยและบริวารให้ออกจากที่ดินประมาณ 90 ไร่ของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องต่อไป และให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินที่จำเลยครอบครองทำประโยชน์อยู่มีเนื้อที่ประมาณ 53 ไร่ จำเลยหักร้างถางพงครอบครองมา ค่าเสียหายที่ฟ้องนั้นสูงเกินจริงและตัดฟ้องว่า โจทก์หมดสิทธิฟ้องร้องแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ขอให้ยกฟ้อง และสั่งแสดงว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิครอบครองส่วนที่ครอบครองอยู่ห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 9 ให้การว่า ที่ดินที่จำเลยที่ 2 ครอบครองมีเนื้อที่ 50 ไร่ จำเลยที่ 2 ได้รับโอนมาจากจำเลยที่ 9 เมื่อ พ.ศ. 2507 โดยจำเลยที่ 9 ได้หักร้างถางพงครอบครองที่นี้มาฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ค่าเสียหายก็สูงเกินความจริง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ขอให้ยกฟ้องและจำเลยที่ 2 ฟ้องแย้งขอให้ศาลสั่งแสดงว่าจำเลยที่ 2 มีสิทธิครอบครองที่ดินส่วนที่ได้ครอบครองมาห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยที่ 7 ที่ 8 และที่ 10 ให้การว่า จำเลยที่ 7 ครอบครองที่ดิน17 ไร่ จำเลยที่ 8 ครอบครอง 36 ไร่ จำเลยที่ 10 ครอบครอง 30 ไร่ จำเลยทั้งสามหักร้างถางพงครอบครองมาตั้งแต่ พ.ศ. 2494 โจทก์หมดสิทธิฟ้องแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีสิทธิครอบครองในที่ที่จำเลยได้ครอบครองอยู่ ห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ให้การว่า จำเลยทั้งสี่เข้าไปปลูกถั่วในที่ดินของโจทก์จริง โดยได้ขออนุญาตจากสามีโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุม เพราะไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เข้าไปทำละเมิดที่ดินของจำเลยตรงไหนเมื่อใดและฟ้องแย้งไม่เกี่ยวพันถึงที่ดินที่โจทก์ฟ้อง
ศาลสั่งให้พนักงานที่ดินอำเภอทำแผนที่พิพาทตามที่คู่ความขอตามแผนที่พิพาทนั้น ที่จำเลยที่ 1 นำชี้ว่าเป็นของจำเลยที่ 1 นั้น มีเนื้อที่62 ไร่เศษ อยู่ในเขตที่โจทก์นำชี้ว่าเป็นของโจทก์ทั้งหมด ที่จำเลยที่ 2 และที่ 9 นำชี้ว่าเป็นของจำเลยมีเนื้อที่ 58 ไร่เศษ อยู่ในเขตที่โจทก์นำชี้ว่าเป็นของโจทก์ทั้งหมด ที่จำเลยที่ 7 นำชี้ว่าเป็นของจำเลยนั้น กินเข้ามาในที่ที่โจทก์ชี้ว่าเป็นของโจทก์ 3 งานเศษ ที่จำเลยที่ 10 นำชี้ว่าเป็นของจำเลยนั้นกินเข้ามาในที่ที่โจทก์ชี้ว่าเป็นของโจทก์ 4 ไร่เศษ และเขตที่โจทก์นำชี้ว่าเป็นของโจทก์นั้น นางยุพาว่าโจทก์ชี้รุกล้ำเข้าไปในที่ของนางยุพา 10 ไร่เศษ
เมื่อคู่ความรับรองแผนที่แล้ว จำเลยที่ 7 และที่ 10 แถลงว่าที่ที่จำเลยนำชี้กินเข้าไปในที่ที่โจทก์นำชี้ว่าเป็นของโจทก์นั้น จำเลยทั้งสองยอมรับว่าเป็นของโจทก์ ขอสละฟ้องแย้ง โจทก์จึงถอนฟ้องจำเลยที่ 7 และที่ 10 และต่อมาโจทก์ได้ถอนฟ้องจำเลยที่ 3, 4, 5 และ 6 อีก
ตามที่นางยุพาได้คัดค้านว่าโจทก์นำชี้เขตรุกล้ำเข้าไปในที่ของนางยุพา 10 ไร่เศษนั้น โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกนางยุพาเข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้ด้วย ศาลสั่งให้หมายเรียกนางยุพาเข้ามา
นางยุพายื่นคำแถลงคัดค้านว่า ที่ศาลหมายเรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้น ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา เพราะนางยุพาไม่มีส่วนได้เสียร่วมกับจำเลย โจทก์ควรฟ้องนางยุพาเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก
ในวันชี้สองสถาน ศาลสั่งว่า เมื่อทำแผนที่พิพาทมาแล้ว ปรากฏว่าที่พิพาทเนื้อที่เพิ่มขึ้น จึงให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 เสียค่าขึ้นศาลเพิ่ม
จำเลยยื่นคำแถลงคัดค้าน อ้างว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ของโจทก์เพียง 90 ไร่ เมื่อทำแผนที่แล้วปรากฏว่าเนื้อที่ 150 ไร่เช่นนี้ โจทก์ไม่ได้ขอแก้ฟ้องขึ้นมา การที่ศาลสั่งให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม เป็นการเพิ่มเติมฟ้องแก่โจทก์โดยปริยาย
โจทก์จำเลยชำระค่าธรรมเนียมเพิ่มแล้ว ต่อมาวันที่ 22 มีนาคม 2509 โจทก์ยื่นคำร้องว่า ตามแผนที่พิพาท ที่จำเลยและนางยุพาจำเลยร่วมชี้นั้นมีเนื้อที่รวม 125 ไร่ 2 งาน 46 วา จึงขอแก้จำนวนเนื้อที่จากเดิม 90 ไร่ เป็น 125 ไร่ 2 งาน 46 วา เพื่อให้ตรงกับเนื้อที่อันแท้จริง ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 8 และนางยุพาจำเลยร่วมใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ 1, 2, 8, 9 และนางยุพาจำเลยร่วมอุทธรณ์ว่า 1. ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องนั้นไม่ชอบ 2. ที่ศาลชั้นต้นหมายเรียกนางยุพาเข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 3. โจทก์สืบนอกฟ้องนอกประเด็น 4. ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม 5. โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 6. ศาลชั้นต้นคิดค่าเสียหายให้โจทก์โดยไม่ชอบ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อกฎหมายข้อ 5 โดยฟังว่า โจทก์ถูกจำเลยแย่งการครอบครองตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2507 ถึงวันฟ้องคือ 26 ตุลาคม 2508 เกินกว่า 1 ปีแล้วการที่โจทก์ร้องเรียนต่อนายอำเภอหรือตำรวจ ไม่ทำให้โจทก์มีอำนาจนำคดีมาฟ้องเกิน 1 ปีได้ จึงไม่ต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยต่อไป ส่วนอุทธรณ์จำเลยในข้อเท็จจริงนั้นแม้จะฟังว่าที่พิพาทเดิมเป็นของโจทก์ โจทก์ก็ขาดสิทธิครอบครองแล้ว พวกจำเลยต่างมีสิทธิครอบครองในที่พิพาท แม้ตามฟ้องแย้งจะไม่ได้บรรยายว่าที่ดินของจำเลยได้ถูกรบกวนการครอบครองอย่างไร แต่การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย ถือได้ว่าสิทธิของจำเลยได้มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ศาลชอบที่จะสั่งแสดงว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาทได้ตามคำขอท้ายฟ้องแย้ง พิพากษากลับ เป็นให้ยกฟ้องโจทก์ และพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทตามแผนที่วิวาทหมายเลข 1 และหมายสีดำ เป็นของจำเลยที่ 1 หมายเลข 2 เป็นของจำเลยที่ 2 หมายเลข 3 เป็นของจำเลยที่ 8 ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
โจทก์ฎีกาโดยตั้งประเด็นว่า
1. โจทก์ฟ้องคดีนี้ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 หรือไม่
2. ที่พิพาทตามแผนที่วิวาทหมายเลข 1, 2, 3 เป็นของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 8 หรือไม่
3. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ 9 และนางยุพาจำเลยร่วมว่าให้แพ้คดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ชนะคดีโจทก์ ต้องถือว่าพิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
1. ตามที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกบุกรุกที่ดินของโจทก์นั้นในการนำชี้เวลาทำแผนที่พิพาทนั้น โจทก์นำชี้เขตที่ดินที่อ้างว่าเป็นของโจทก์ทั้งหมด ฝ่ายจำเลยแต่ละคนก็ชี้เขตที่ดินที่อ้างว่าเป็นของจำเลยซึ่งอยู่ในเขตที่ที่โจทก์ชี้ว่าเป็นของโจทก์ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยจึงมีว่า เขตที่ดินที่จำเลยแต่ละคนชี้นั้น ฝ่ายใดจะเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง แต่เขตที่ดินที่โจทก์ชี้นั้น นางยุพาได้โต้แย้งว่าโจทก์ชี้รุกล้ำเข้าไปในที่ของนางยุพาซึ่งตอนนี้จำเลยในคดีนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ที่ดินที่นางยุพาอ้างว่าเป็นของตนนั้นไม่เกี่ยวกับที่ดินที่โจทก์จำเลยพิพาทกันแต่ประการใด โจทก์ชอบที่จะฟ้องนางยุพาขึ้นมาเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก การเรียกนางยุพาเข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาเห็นควรสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เรียกนางยุพาเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเสีย เมื่อสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์แล้ว ก็ถือว่านางยุพาไม่ได้เป็นจำเลยร่วมในคดีนี้คำพิพากษาคดีนี้ จึงไม่มีผลบังคับนางยุพา
2. ได้ความว่าเมื่อต้นเดือนกันยายน 2507 โจทก์ได้กล่าวหาจำเลยที่ 1กับพวกว่าบุกรุก โจทก์ได้ร้องต่อพนักงานสอบสวนพนักงานสอบสวนเรียกจำเลยที่ 1 กับพวกมาสอบถาม จำเลยกับพวกโต้เถียงว่าเป็นที่ของจำเลย เมื่อจำเลยโต้เถียงเช่นนั้น โจทก์ก็กลัวไม่กล้าเข้าไปทำในที่ ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องในที่พิพาทตลอดมา นอกจากไปร้องเรียนต่อกองปราบปรามเท่านั้น จึงฟังได้ว่านับแต่วันที่โจทก์ถูกแย่งการครอบครองจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องเรียกคืนการครอบครองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375
3. ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกนั้น เป็นคดีอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365 วรรค 2 มีอายุความฟ้องร้องภายใน 10 ปีและ 5 ปี ฉะนั้น อายุความฟ้องร้องฐานละเมิดทางแพ่งจึงต้องถืออายุความทางอาญา คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าในประเด็นข้อนี้ คู่ความได้ว่ากล่าวกันมาแต่ศาลชั้นต้นแต่เพียงว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองไปจากโจทก์เกิน 1 ปี อันเป็นเหตุให้โจทก์หมดสิทธิเรียกคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 หรือไม่เท่านั้น ส่วนประเด็นเรื่องต้องใช้อายุความทางอาญาแทนอายุความทางแพ่งนั้น โจทก์เพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาจึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
4. คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท จำเลยต่อสู้ว่าเป็นของจำเลยและฟ้องแย้งขอให้แสดงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ห้ามมิให้โจทก์เกี่ยวข้องนั้น ไม่จำเป็นต้องกล่าวว่าโจทก์บุกรุกที่ของจำเลยเมื่อใดตรงไหน ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ส่วนที่โจทก์ว่าฟ้องแย้งของจำเลยขาดอายุความนั้น แม้จะพิพาทกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2507 แล้ว แต่จำเลยก็เป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทตลอดมา หาได้ถูกแย่งการครอบครองไปแต่อย่างใดไม่ เมื่อโจทก์โต้แย้งสิทธิของจำเลย จำเลยก็ฟ้องแย้งขอให้ศาลแสดงสิทธิ หาใช่ฟ้องเรียกคืนการครอบครองไม่ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375
5. ในปัญหาข้อเท็จจริง ฟังว่า ที่พิพาทหมายเลข 1 และหมายเลข 3 เป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ครอบครองตลอดมาตามลำดับ ส่วนที่พิพาทหมายเลข 2 นั้น นายสมบุญบุตรของจำเลยที่ 2 ซื้อมาจากสามีของจำเลยที่ 9แต่นายสมบุญไม่ได้เข้ามาเป็นจำเลยและให้บิดามารดาดำเนินการแทน ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินหมายเลข 2 เป็นของจำเลยที่ 2 เองนั้น ศาลจึงพิพากษาให้ตามคำขอไม่ได้
6. ฎีกาในประเด็นข้อ 3 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 9 แล้วว่า โจทก์หมดสิทธิที่จะฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 แล้วเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เรียกนางยุพาเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเสีย คืนค่าธรรมเนียมที่นางยุพาเสียมาทั้งหมดให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์