แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยและ ฟ. สามีครอบครองที่ดินของรัฐตั้งแต่ พ.ศ. 2495ฟ. ถูกคนร้ายลอบยิงถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2516จำเลยต้องหลบไปอยู่ที่อื่นเพื่อความปลอดภัยพร้อมกับทูลเกล้าฯ ถวาย ฎีกาขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดิน ต่อมากรมที่ดินได้อนุมัติให้ทางจังหวัดนครราชสีมาออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลย ดังนี้ ถือได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ได้อนุญาตให้จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว การที่โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินของรัฐระหว่าง พ.ศ. 2507ถึงปี พ.ศ. 2510 ซึ่งเป็นเวลาภายหลัง ป. ที่ดินใช้บังคับแล้วและการยึดถือครอบครองของโจทก์มิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นการยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ต้องห้ามตาม ป.ที่ดิน มาตรา 9 แม้โจทก์จะแย่งการครอบครองที่พิพาทจากจำเลยเกิน 1 ปี ก็ไม่มีอำนาจฟ้องและห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องที่ดินดังกล่าว.
ย่อยาว
โจทก์ทั้ง 12 สำนวนฟ้องของจำเลยคนเดียวกันว่า จำเลยได้นำเจ้าพนักงานไปทำการรังวัดที่ดินของโจทก์ เพื่อขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) อันเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินภายในกรอบสีแดงในแผนที่ท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้ง 12 สำนวน ให้การว่าจำเลยกับนายฟัก ประเสริฐธรรมสามีได้ร่วมกันครอบครองที่พิพาทจำนวน 140 ไร่ มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2495 ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้สั่งให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) แก่จำเลย โจทก์บุกรุกเข้าครอบครองส่วนหนึ่งของที่ดินจำเลย เมื่อ พ.ศ. 2519 โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงแล้วสั่งงดสืบพยานและพิพากษาว่าจำเลยมิได้ใช้สิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง อำนาจการค้าที่พิพาทจึงตกได้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องให้จำเลยถอนคำขอที่ขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกน.ส.3 ก มิฉะนั้น ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยทั้งสิบสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสิบสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้วพิพากษาว่าถือได้ว่ารัฐได้จัดที่ดินให้แก่จำเลยตามกฎหมาย จำเลยจึงมีสิทธิครอบครองที่พิพาทดีกว่าโจทก์ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสิบสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสิบสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมจำเลยและนายฟัก ประเสริฐธรรม สามี ครอบครองทำกินอยู่ในที่พิพาทตั้งแต่พ.ศ. 2495 ต่อมาในปี พ.ศ. 2511 จำเลยและนายฟักถูกผู้มีอิทธิพลร่วมกับข้าราชการบางคนข่มเหงรังแกเพราะไม่ยอมขายที่ดินให้แก่เจ้าของโรงงานทอกระสอบโดยลอบเผาพืชไร่บ้าง จับกุมดำเนินคดีอาญาบ้างจนในที่สุดนายฟักก็ถูกคนร้ายยิงถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 19มิถุนายน 2516 จำเลยจึงต้องหลบไปอยู่ที่อื่นเพื่อความปลอดภัยพร้อมทั้งทูลเกล้าถวายฎีกากราบบังคมทูล ขอให้ได้รับความเป็นธรรมเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดิน และสามีถูกคนร้ายฆ่าตายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้วมีพระราชกระแสว่า นอกจากจะต้องสอบสวนเกี่ยวกับที่ดินแล้ว ให้ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงพฤติการณ์เบื้องหลังของผู้มีอิทธิพลเกี่ยวกับกรณีพิพาทในที่ดินจนทำให้นายฟัก ประเสริฐธรรม สามีผู้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาถูกคนร้ายฆ่าตายต่อไปด้วย สำนักราชเลขาธิการได้ดำเนินการสอบสวนพิจารณาร่วมกับกรมที่ดินและหน่วยราชการอื่น ๆที่เกี่ยวข้อง ปรากฏว่ากระทรวงมหาดไทยมีหนังสือลงวันที่ 10 กรกฎาคม2517 ถึง ราชเลขาธิการรายงานผลการสืบสวนให้ทราบ ปรากฏรายละเอียดตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 2 สรุปความได้ว่า เพื่อปฏิบัติตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 เห็นสมควรดำเนินการดังนี้ ที่ดินที่นายฟักยกให้สร้างสำนักสงฆ์ 21 ไร่ ควรออกหลักฐานสิทธิครอบครองให้แก่สำนักสงฆ์ สำหรับที่ดินที่นายฟักขายให้ราษฎร 24 ราย จำนวน60 ไร่ เห็นควรออกหลักฐานสิทธิการครอบครองให้แก่ราษฎรผู้ซื้อต่อไปและเมื่อดำเนินการดังกล่าวแล้วสมควรที่จะออกหลักฐานสิทธิการครอบครองให้แก่จำเลยเพราะนายฟักสามีจำเลยได้ลงทุนทำประโยชน์ในที่ดินนี้มาเป็นเวลา 17 ปี และนายฟักถูกคนร้ายยิงตายสาเหตุเนื่องมาจากพิพาทที่ดินดังกล่าวเพื่อจำเลยจะได้ประกอบอาชีพทำไร่เลี้ยงดูบุตรสืบไป ส่วนกรมที่ดินมีหนังสือลงวันที่ 21 ธันวาคม 2520 ถึงราชเลขาธิการความว่าจำเลยยังมีสิทธิในที่ดินอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะขอออก น.ส.3 ก. ได้ ตามนัยมาตรา 58 ทวิ (3) แห่งประมวลกฎหมายที่ดินและกรมที่ดินได้แจ้งอนุมัติให้จังหวัดนครราชสีมาประกาศเขตเดินสำรวจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เพิ่มเติมในท้องที่อำเภอสีคิ้วแล้วทั้งนี้เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติในอันที่จะดำเนินการออกหลักฐานเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินให้แก่จำเลยออกไป ราชเลขาธิการมีหนังสือถึงจำเลยลงวันที่ 15 มกราคม 2521 แจ้งให้จำเลยรีบติดต่อกับเจ้าหน้าที่ที่ดินอำเภอปากช่องหรือที่ดินจังหวัดนครราชสีมา เพื่อชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่ดินซึ่งจำเลยครอบครองมาก่อนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิในที่ดิน หลังจากนั้นจำเลยได้นำเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินของจำเลย โจทก์ทั้งสิบสองสำนวนจึงนำคดีมาฟ้อง
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าที่พิพาททั้งสิบสองสำนวนเป็นที่ดินของรัฐอันบุคคลอาจได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน โจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาทระหว่างปีพ.ศ. 2510 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับแล้วจึงมิใช่ผู้ได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่พิพาทก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ และการยึดถือครอบครองของโจทก์ก็มิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงเป็นการยึดถือครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย แม้โจทก์จะแย่งการครอบครองที่พิพาทจากจำเลยเกินกว่า1 ปีแล้ว และคงอยู่ตลอดมาจนถึงวันฟ้อง ก็เป็นการเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของรัฐโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นการต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและหามีสิทธิที่จะขอห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินและขอให้จำเลยถอนคำขอที่ขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออก น.ส.3 ก. ได้เพราะจำเลยมีสิทธิที่จะกระทำได้โดยชอบ เนื่องจากถือได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ได้อนุญาตให้จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทได้แล้วเพียงแต่อยู่ในระหว่างดำเนินการเพื่อออกหลักฐานเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินให้จำเลยเท่านั้น ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ทั้งสิบสองสำนวนฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.