คำสั่งคำร้องที่ 1024/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ส่วนฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่า เป็นข้อกฎหมาย ที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ต้องห้ามตามมาตรา 15 ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 และ 249 จึงไม่รับฎีกา จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้นเป็นสาระแก่คดีในการที่จะทำให้ผลของคดีถึงแพ้ชนะ กล่าวคือศาลอุทธรณ์ มิได้ฟังข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิด ทั้งตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คและ ฉ้อโกง และมิได้นำสืบให้ครบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยได้อายัด เช็คโดยมีเจตนาอย่างไร ในข้อกฎหมายดังกล่าวสมควรที่จะได้ รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาเพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไป โปรดมี คำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 833) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การสั่งจ่ายเช็คของจำเลยและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินรวม 3 ฉบับ เป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระเป็นรายกระทงไป ให้ลงโทษ รวม 3 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 3 ปี ข้อหา ฉ้อโกงให้ยก สำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2(สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 822) จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 826)

คำสั่ง ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า การบรรยายฟ้องของโจทก์ขัดกันเองเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์มิได้นำสืบว่า จำเลยที่ 2 ได้อายัดเช็คโดยมีเจตนาทุจริตอย่างไร การนำสืบ ของโจทก์ยังไม่ครบองค์ประกอบความผิด เป็นฎีกาในข้อกฎหมาย ที่เป็นสาระแก่คดี ให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป

Share