คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1656/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีความผิดครั้งเดียวและกรรมเดียวกัน เมื่ออัยการโจทก์ได้ฟ้องจำเลยและศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ผู้เสียหายจะฟ้องจำเลยในความผิดกรรมเดียวนั้นอีกไม่ได้ แม้ว่าการกระทำหรือกรรมนั้นจะแบ่งแยกความผิดออกได้เป็นหลายฐาน หรือเป็นความผิดอาญาแผ่นดินกับความผิดที่ยอมความกันได้ก็ตาม เพราะคำว่า “ในความผิด” ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) มีความหมายถึงการกระทำอันหนึ่ง ๆ ในคราวเดียวกัน มิได้หมายถึงฐานความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์ซึ่งเป็นโฉนดที่ดิน กับเอกสารหลักฐานการกู้ยืม ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๓๕, ๑๘๘
ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๑๐ ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์แถลงว่าพนักงานอัยการจังหวัดนครราชสีมาได้ฟ้องจำเลยยังศาลชั้นต้นเดียวกับฐานฉ้อโกงเจ้าหนี้ ศาลได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้วตามคดีอาญาเลขแดงที่ ๘๗๘/๒๕๑๐ คดีที่อัยการฟ้องดังกล่าวกับคดีที่โจทก์ฟ้องกรณีนี้เป็นการฟ้องที่หาว่าจำเลยกระทำผิดในครั้งเดียวกัน แต่อัยการฟ้องจำเลยคนละข้อหา ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีไม่จำต้องไต่สวนต่อไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาว่า คดีที่โจทก์ฟ้องนี้เป็นเรื่องที่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๔) พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีอาญาที่อ้างถึงเสร็จเด็ดขาดลงนั้น
เป็นการกระทำของจำเลยอันเดียวกับที่โจทก์เสนอฟ้องกรณีนี้ จำเลยกระทำผิดครั้งเดียวและกรรมเดียว เมื่อศาลได้พิพากษา(ลงโทษ) เสร็จเด็ดขาดไปแล้ว จำเลยก็หาต้องถูกศาลพิพากษาซ้ำกันในกระกระทำอันเดียวนั้นอีกไม่ แม้ถึงว่าการกระทำนั้นหรือกรรมนั้นจะแบ่งแยกความผิดออกได้เป็นหลายฐานก็ตาม เพราะคำว่า “ในความผิด” ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๔) มีความหมายถึงการกระทำอันหนึ่ง ๆ ในคราวเดียวกัน มิได้หมายถึงฐานความผิด โจทก์จะกลับรื้อฟื้นขอให้ศาลพิจารณาความผิดในกรรมเดียวกับที่พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลย และศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้วโดยอ้างว่าเป็นความผิดคนละฐานหรือเป็นความผิดอาญาแผ่นดินกับความผิดที่ยอมความกันได้นั้น ฟังไม่ขึ้น และสิทธินำคดีอาญามาฟ้องกรณีนี้ก็เป็นอันระงับไปแล้ว
พิพากษายืน

Share