คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1651/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล ระบุให้จำเลยจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ภายใน 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์ตกลงชำระเงินให้จำเลย 200,000 บาท ในวันจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท หากจำเลยผิดนัด จำเลยยินยอมให้โจทก์ถือเอาสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไปจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองได้ทันทีและถือเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ดังนี้ วัตถุประสงค์ในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความจึงเป็นกรณีที่โจทก์จำเลยมุ่งระงับข้อพิพาทระหว่างกันด้วยการที่จำเลยจะโอนที่ดินให้แก่โจทก์และโจทก์ก็จะชำระราคาให้แก่จำเลย การกำหนดระยะเวลา 6 เดือนไว้ จึงเป็นกำหนดเวลาให้โจทก์จำเลยปฏิบัติตามสัญญา หากไม่ปฏิบัติก็บังคับคดีกันไปเพื่อให้สมวัตถุประสงค์แห่งการทำสัญญาที่ต้องการให้ข้อพิพาทระหว่างกันระงับไปด้วยวิธีการดังกล่าว หาใช่ว่าหากไม่ปฏิบัติตามสัญญาภายในกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วจะทำให้ข้อกำหนดในสัญญาประนีประนอมยอมความสิ้นผลไปโดยคู่สัญญาไม่จำต้องปฏิบัติตามสัญญาแต่อย่างใดไม่ เนื่องจากไม่เป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างกันตามที่โจทก์จำเลยมีเจตนาในการเข้าทำสัญญามาแต่ต้น ฉะนั้น เมื่อโจทก์วางเงินจำนวน 200,000 บาท ต่อศาลแล้ว แม้จะเกินเวลา 6 เดือน จำเลยจึงต้องรับเงินและมีหน้าที่จดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติ โจทก์ชอบที่จะขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินจำนวนสองแปลงแก่โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายใน ๖ เดือน นับแต่วันที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์จะชำระเงินให้แก่จำเลย จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ในวันที่เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงให้โจทก์เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว… ต่อมาภายหลังพ้นกำหนด ๖ เดือน ตามที่กำหนดในสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ยื่นคำร้องขอวางเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ต่อศาลเพื่อให้จำเลยรับไป กับขอให้มีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินให้จดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวแก่โจทก์แทน โดยอ้างว่าจำเลยผัดผ่อนและผิดนัดการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์วางเงินดังกล่าวเพื่อชำระแก่จำเลยและมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยยื่นคำแถลงคัดค้านว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยผิดนัดไม่ไปรับโอนที่ดินภายในกำหนด จำเลยจึงไม่จำต้องโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้สำนักงานที่ดินจังหวัดสระแก้วออกใบแทนกับจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์และจำเลยได้ทำกันไว้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญาประนีประนอมยอมความเนื่องจากไม่รับโอนที่ดินภายในกำหนดเวลา ๖ เดือน หรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๑ ระบุให้จำเลยจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ภายใน ๖ เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์ตกลงชำระเงินให้จำเลยจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ในวันจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท หากจำเลยผิดนัด จำเลยยินยอมให้โจทก์ถือเอาสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไปจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองได้ทันทีและถือเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ดังนี้ วัตถุประสงค์ในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความจึงเป็นกรณีที่โจทก์จำเลยมุ่งระงับข้อพิพาทระหว่างกันด้วยการที่จำเลยจะโอนที่ดินให้แก่โจทก์ ส่วนโจทก์ก็จะชำระราคา รวมทั้งภาระค่าธรรมเนียมและค่าภาษีอื่น ๆ ให้แก่จำเลย เมื่อคู่สัญญาตามสัญญาประนีประนอมยอมความมีวัตถุประสงค์ดังกล่าว การกำหนดระยะเวลา ๖ เดือนไว้ จึงเป็นกำหนดระยะเวลาให้โจทก์จำเลยปฏิบัติตามสัญญาเท่านั้น หากไม่ปฏิบัติก็บังคับคดีกันไปเพื่อให้สมวัตถุประสงค์แห่งการทำสัญญาที่ต้องการให้ข้อพิพาทระหว่างกันระงับไปด้วยวิธีการดังกล่าว หาใช่ว่าหากไม่ปฏิบัติตามสัญญาภายในกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วจะทำให้ข้อกำหนดในสัญญาประนีประนอมยอมความสิ้นผลไป โดยคู่สัญญาไม่จำต้องปฏิบัติตามสัญญาแต่อย่างใด เนื่องจากไม่เป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างกันตามที่โจทก์จำเลยมีเจตนาในการเข้าทำสัญญามาแต่ต้น ฉะนั้น เมื่อโจทก์วางเงินจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ต่อศาลแล้วแม้จะเกินเวลา ๖ เดือน จำเลยจึงต้องรับเงินและมีหน้าที่จดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติ โจทก์ก็ชอบที่จะขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ คำวินิจฉัยและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ในข้อนี้ชอบแล้ว ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยเหตุผลตามฎีกาข้ออื่น ๆ ของจำเลยอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share