คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1651/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวเพราะเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็น ข้อสำคัญในคดี อันเป็นอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)จึงเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์นำสืบถึงการแปลงหนี้ค่าข้าวเปลือกเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน เป็นการนำสืบถึงที่มาของหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินแม้โจทก์จะมิได้บรรยายคำฟ้องว่าหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นหนี้ที่แปลงมาจากหนี้ค่าข้าเปลือกก็ตามแต่โจทก์ก็มีสิทธินำสืบถึงที่มาและเหตุที่ทำสัญญากู้ยืมเงินตามคำฟ้องได้ ไม่เป็นการนำสืบนอกคำฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน93,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่26 กรกฎาคม 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่เมื่อคำนวณดอกเบี้ยถึงวันฟ้องได้เป็นจำนวนเงิน42,002.88 บาท ซึ่งเกินกว่าดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน 27,900 บาท ตามคำขอของโจทก์ จึงเป็นการที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฎในคำฟ้องปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2529 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 100,000 บาท โดยจำเลยตกลงจะชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระหนี้เป็นรายเดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2530 จำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้วจำเลยได้นำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์เพียง 7,000 บาทส่วนที่เหลือจำนวน 93,000 บาท จำเลยไม่ได้นำเงินมาชำระให้โจทก์ โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระ แต่จำเลยเพิกเฉยจึงขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 26กรกฎาคม 2530 คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 27,900 บาทรวมเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเงิน 120,900 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 120,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี ในต้นเงิน 93,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องหนังสือสัญญากู้ยืมเงินท้ายฟ้องเกิดขึ้นจากการฉ้อฉลของโจทก์ หนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องจึงไม่มีมูลหนี้จำเลยได้ติดตามทวงหนังสือสัญญากู้ยืมเงินคืนจากโจทก์แต่โจทก์บ่ายเบี่ยงแล้วนำหนังสือกู้ยืมเงินมาฟ้องเป็นคดีนี้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์จำนวน93,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2530จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ฎีกาจำเลยที่ว่า จำเลยมิได้กู้ยืมเงินโจทก์ตามคำฟ้อง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
สำหรับฎีกาจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า การที่ศาลรับฟังพยานเอกสารของโจทก์เป็นการรับฟังที่ขัดต่อกฎหมาย เพราะโจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่จำเลยก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า3 วัน และข้อนำสืบของโจทก์ถึงการแปลงหนี้ค่าข้าวเปลือกเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินเป็นการนำสืบนอกคำฟ้องนั้น เห็นว่า แม้โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ที่ใช้ บังคับอยู่ในขณะนั้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวเพราะเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีอันเป็นอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)จึงเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนการที่โจทก์นำสืบถึงการแปลงหนี้ค่าข้าวเปลือกเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินนั้น เป็นการนำสืบ ถึงที่มาของหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน แม้โจทก์จะมิได้บรรยายคำฟ้องว่า หนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นหนี้ที่แปลงมาจากหนี้ค่าข้าวเปลือกก็ตาม แต่โจทก์ก็มีสิทธินำสืบถึงที่มาและเหตุที่ทำสัญญากู้ยืมเงินตามคำฟ้องได้ ไม่เป็นการนำสืบนอกคำฟ้องแต่อย่างใด
แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 93,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 กรกฎาคม2530 จนกว่าจะชำระเสร็จ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น คำนวณดอกเบี้ยถึงวันฟ้องได้เป็นจำนวนเงิน 42,002,.88 บาท ซึ่งเกินกว่าดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน 27,900 บาท ตามคำขอของโจทก์ จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฎในคำฟ้อง และปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกาก็เห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 120,900 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 93,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share