แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยทำสัญญาขายฝากที่ดิน แล้วจำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินนั้นในวันเดียวกัน ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดไถ่คืนแล้ว โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าที่ดิน จำเลยต่อสู้ว่า ความจริงเป็นเรื่องกู้เงินโดยเอาที่ดินเป็นประกัน ส่วนการเช่าที่ดินนั้นเป็นการเลี่ยงกฎหมาย เผื่อถ้าจำเลยไถ่ที่ดินจะได้คิดแทนดอกเบี้ยซึ่งเกินกว่าอัตราในกฎหมาย คดีนี้จำเลยไม่ได้ไถ่ที่ดินคืน และจำเลยไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่เช่าที่ดินที่เช่าเป็นที่ว่างเปล่าไม่ควรมีค่าเช่าถึงอัตราที่กำหนดเป็นค่าเช่ากันไว้ เช่นนี้ เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่า สัญญาเช่าไม่สมบูรณ์ เพราะมิได้มีเจตนาที่จะให้ผูกพันด้วยการเช่ากันจริง ๆ จำเลยมีสิทธิที่จะนำพยานมาสืบได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าที่ดินเป็นเวลา ๑ ปี ๒ เดือน ค่าเช่าเดือนละ ๑,๓๗๕ บาท รวมเป็นเงิน ๑๙,๒๕๐ บาท
จำเลยต่อสู้ว่า มิได้เช่าที่ดินรายพิพาท หนังสือสัญญาเช่าเป็นนิติกรรมอำพราง ความจริงจำเลยกู้ เงินโจทก์โดยเอาที่พิพาทเป็นประกัน โจทก์ให้จำเลยทำเป็นสัญญาขายฝากกับโจทก์ โจทก์กำหนดว่าถ้าจำเลยไม่ไถ่ถอนคืนจะคิดค่าไถ่เป็นดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราร้อยละ ๒.๕๐ บาทต่อเดือน โจทก์ประสงค์จะหลีกเหลี่ยงการเรียกดอกเบี้ยเงินกู้ตามกฎหมาย จึงให้จำเลยทำเป็นสัญญาเช่าที่ดินไว้ ที่พิพาทเป็นที่ว่างเปล่า จำเลยไม่เคยเข้าไปใช้หาประโยชน์ ทั้งอัตราค่าเช่าที่ทำไว้นั้นไม่มีผู้ใดเช่ากัน เพราะไม่มีผลประโยชน์เลย จำเลยไม่ต้องรับผิดในสินไถ่ซึ่งกำหนดไว้เป็นอัตราดอกเบี้ยและทำเป็นสัญญาเช่านั้น และตัดฟ้องว่าสัญญาเช่าเป็นนิติกรรมอำพราง มีวัตถุประสงค์ฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นโมฆะ
ในวันนัดพิจารณา คู่ความรับกันว่าจำเลยทำสัญญาเช่าไว้จริง โจทก์ซื้อฝากที่พิพาทไว้จากจำเลยจริง สัญญาทั้งสองนี้ทำในวันเดียวกัน จำเลยค้างค่าเช่าอยู่จริง โจทก์รับว่าที่พิพาทเป็นที่ว่าง คงได้เถียงกันแต่ว่าจำเลยว่าค่าเช่านั้น คือ ค่าดอกเบี้ย อัตราร้อยละสองครึ่งของต้นเงิน ๕๕,๐๐๐ บาท ส่วนโจทก์ว่าสัญญาเช่ามิใช่นิติกรรมอำพราง
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า สัญญาตามเอกสาร จ.๑ ไม่ใช่สัญญากู้เงินแต่เป็นสัญญาเช่าที่ดิน อัตราค่าเช่าไม่มีกฎหมายห้ามไว้ การที่โจทก์จำเลยทำสัญญาขายฝากกันเป็นเรื่องที่ตกลงทำนิติกรรมกันใหม่ ไม่ใช่นิติกรรมอำพราง พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเช่าที่ค้าง ๑๙,๒๕๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์โดยที่ประชุมใหญ่ลงมติว่า ตามคำฟ้องคำให้การและพฤติการณ์ข้อเท็จจริงที่รับกันมาแล้ว ข้อเถียงของจำเลยว่าสัญญาเช่าเป็นนิติกรรมอำพรางดอกเบี้ยเงินกู้เป็นโมฆะนั้น ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาขายฝากและสัญญาเช่าทำวันเดียวกัน ฝ่ายจำเลยเถียงว่า ความจริงจำเลยกู้เงินโจทก์โดยเอาที่รายพิพาทเป็นประกัน แต่โจทก์ให้ทำเป็นสัญญาขายฝาก โดยโจทก์กำหนดว่า ถ้าจะไถ่คืนจะคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสองครึ่งต่อเดือน จึงให้จำเลยทำเป็นสัญญาเช่าที่ดินไว้ การที่จำเลยเถียงเช่นนี้เท่ากับเถียงว่าสัญญาเช่าที่ดินไม่สมบูรณ์ เพราะคู่สัญญามิได้มีเจตนาที่จะให้ผูกพันกันตามสัญญา จำเลยมีสิทธินำพยานมาสืบได้ตาม วิ.แพ่ง ม. ๙๔ วรรคท้าย จึงให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่