คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1649/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อเรือแล่นไปถึงกลางแม่น้ำ ล. เข้ารัดคอผู้เสียหายและเรียกเอาปืนจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ชักปืนลูกซองพกออกมาผู้เสียหายจับมือจำเลยที่ 1 เพื่อแย่งปืน จำเลยที่ 1 ก็ลั่นไกปืนแต่กระสุนไม่ถูกผู้ใด ล. ร้องหามีด บ. ก็ชักมีดออกมาแทงผู้เสียหายที่ชายโครงซ้าย ปลายมีดทะลุถึงช่องปอดและแทงในลักษณะเลือกแทง ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กับพวกมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 3 ซึ่งไม่พอใจผู้เสียหายออกไปพูดซุบซิบกับพวกแล้วส่งเงินให้ผู้เสียหายบอกให้ไปหาหญิงโสเภณีมาให้ ระหว่างเสียงปืนดังจำเลยที่ 3 ลงเรืออีกลำหนึ่งแล่นมาที่กลางแม่น้ำตรงที่เกิดเหตุร้องบอกกับจำเลยที่ 1 กับพวกว่าเอาให้ตาย พฤติการณ์ของจำเลยที่ 3 ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 กับพวก.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนและมีดยิงและแทงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า แต่ผู้เสียหายไม่ตาย เพียงได้รับอันตรายสาหัส จำเลยที่ 2 เป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่175/2528 ของศาลชั้นต้น และจำเลยที่ 3 เป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 175/2528 และหมายเลขแดงที่ 48/2528 ของศาลชั้นต้นขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 และ 83 นับโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่อจากคดีดังกล่าว
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 กับที่ 3 รับว่าเป็นจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 แม้จำเลยที่ 2 อายุ 19 ปี แต่เห็นว่ามีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแล้วจึงไม่ลดมาตราส่วนโทษให้จำคุกคนละ 12 ปี นับโทษจำเลยที่ 3 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่48/2528 ของศาลชั้นต้น ไม่ปรากฏว่าคดีอาญาหมายเลขดำที่ 175/2528ของศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่นับโทษต่อให้
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่าในคืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 24 นาฬิกา ผู้เสียหายนั่งเรือยนต์หางยาวจากท่าเรือฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปากพนังจะข้ามไปฝั่งตะวันออกได้ถูกคนร้ายกลุ่มหนึ่งซึ่งนั่งมาในเรือด้วยใช้อาวุธปืนยิงแต่กระสุนไม่ถูกผู้ใดเพราะผู้เสียหายจับมือคนร้ายไว้และพยายามแย่งปืน และคนร้ายใช้มีดแทงผู้เสียหายที่ชายโครงซ้ายลึกถึงช่องปอด มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามในประการแรกว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายมาเบิกความเป็นประจักษ์พยานว่า คืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 23.30 นาฬิกา ผู้เสียหายออกจากบ้านซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปากพนังจะข้ามไปฝั่งตะวันออกไปพบจำเลยที่3 กับพวกดื่มสุราอยู่ที่บ้านนายต้อยซึ่งอยู่ในบริเวณท่าเรือฝั่งตะวันตกจึงเข้าไปคุยกับจำเลยที่ 3 ซึ่งเคยเป็นนายจ้างผู้เสียหายมาก่อน จำเลยที่ 3 ใช้ให้ผู้เสียหายไปหาหญิงโสเภณีมาให้ ผู้เสียหายไปหาไม่ได้ก็กลับมาเอาเงินคืนให้จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 รับเงินแล้วออกไปพูดซุบซิบกับพวกข้างนอก แล้วส่งเงินให้ผู้เสียหายสั่งให้ผู้เสียหายไปหาหญิงโสเภณีให้ โดยให้ไปกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 นายบ่าว นายฉลองและนายเล็ก โดยนายฉลองเป็นคนขับเรือ เมื่อเรือแล่นมาถึงกลางแม่น้ำ นายเล็กเข้ารัดคอผู้เสียหายแล้วเรียกเอาปืนจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ชักปืนลูกซองพกออกมาผู้เสียหายจับมือจำเลยที่ 1 พยายามจะแย่งปืน จำเลยที่ 1 เหนี่ยวไกปืน ปืนลั่น 1 นัดนายเล็กเรียกเอามีดจากนายบ่าว ผู้เสียหายผลักนายเล็กไปที่แคมเรือเพื่อต้องการให้เรือล่ม ขณะน้ำกำลังเข้าเรือ นายบ่าวใช้มีดแทงผู้เสียหายที่ชายโครงซ้าย 1 ที ผู้เสียหายว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งตะวันออก ก่อนที่เจ้าพนักงานตำรวจจะช่วยนำผู้เสียหายขึ้นจากน้ำ นายอ้นขับเรือตามมา จำเลยที่ 3 ซึ่งยืนอยู่ที่หัวเรือร้องตะโกนว่าเอาให้ตายหลายครั้ง ขณะว่ายน้ำอยู่ผู้เสียหายเห็นเจ้าพนักงานตำรวจยืนส่องไฟฉายอยู่ที่ท่าเรือฝั่งตะวันออก เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจช่วยเหลือผู้เสียหายขึ้นจากน้ำแล้ว ผู้เสียหายก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เจ้าพนักงานตำรวจผู้ช่วยเหลือฟัง สิบตำรวจตรีสำราญและพลตำรวจสรศักดิ์ผู้ช่วยเหลือผู้เสียหายขึ้นจากน้ำก็ได้เบิกความสนับสนุนคำผู้เสียหายว่า เมื่อนำผู้เสียหายไปส่งโรงพยาบาลปากพนังผู้เสียหายเล่าให้ฟังว่า จำเลยที่ 3 ใช้ให้ผู้เสียหายไปหาหญิงโสเภณีมาให้โดยมีคนลงเรือมา 5-6 คน เมื่อเรือออกจากฝั่งแล้ว ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงและถูกนายบ่าวแทง นอกจากนี้นางบ๊วยพยานโจทก์ยังได้เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุนางบ๊วยนั่งอยู่ที่ระเบียงข้างบริเวณท่าเรือ เมื่อเสียงปืนดังแล้ว เห็นไฟฉายของเจ้าพนักงานตำรวจส่ายไปมา เห็นจำเลยที่ 3 ยืนอยู่ที่หัวเรืออีกลำหนึ่งซึ่งนายอ้นขับ จำเลยที่ 3 ร้องตะโกนว่าเอาให้ตาย ผู้เสียหายรู้จักจำเลยทั้งสามมากว่าสิบปี และรู้จักคนในเรือที่เกิดเหตุทุกคน ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายก็ได้ดื่มสุราและเบียร์กับจำเลยที่ 3 กับพวกหลังจากเกิดเหตุเล็กน้อยผู้เสียหายได้เล่าเรืองที่เกิดขึ้นให้เจ้าพนักงานตำรวจผู้ช่วยเหลือตนฟังโดยละเอียด และได้เล่าให้นางบ๊วยฟังในวาระแรกที่พบกันที่โรงพยาบาลโดยละเอียดเช่นเดียวกัน และระบุด้วยว่าจำเลยคนใดพวกของจำเลยคนใดทำอย่างไรบ้าง แม้ในชั้นพิจารณาสิบตำรวจตรีสำราญกับพลตำรวจสรศักดิ์จะมิได้เบิกความว่าในที่เกิดเหตุเห็นจำเลยที่ 3 แต่ในชั้นสอบสวนพยานทั้งสองก็ได้ให้การว่าได้ยินเสียงตะโกนในกลางแม่น้ำว่าฆ่าให้ตาย ส่องไฟดูเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่หัวเรืออีกลำหนึ่ง ทราบชื่อภายหลังว่าชื่อสมพงษ์ ศิริวัฒน์ศาลฎีกาได้พิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งปวงแล้ว เชื่อว่าความจริงเป็นดังที่ผู้เสียหายเบิกความ สำหรับจำเลยที่ 3 นั้น แม้มิได้ลงมือทำร้ายผู้เสียหาย แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ไม่พอใจผู้เสียหายซึ่งเป็นลูกน้องของตนมาก่อนเพราะผู้เสียหายแยกตัวไปทำงานที่อื่นและมารดาผู้เสียหายไม่ยอมให้จำเลยที่ 3 เปิดบ่อนการพนันที่บ้านผู้เสียหายคืนเกิดเหตุจำเลยที่3 มอบเงินให้ผู้เสียหายบอกว่าให้ไปหาหญิงโสเภณีมาให้จำเลยที่ 3 โดยบอกให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 นายบ่าว และนายเล็กไปกับผู้เสียหายด้วย และนายฉลองเป็นคนขับเรือ ก่อนบอกให้ผู้เสียหายไปหาหญิงโสเภณีมาให้ จำเลยที่ 3 กับพวกก็ได้ออกไปพูดซุบซิบกันซึ่งผู้เสียหายไม่ทราบว่าพูดอะไร เมื่อเรือแล่นไปถึงกลางแม่น้ำ นายเล็กก็รัดคอผู้เสียหายและเรียกเอาอาวุธปืนจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ชักปืนลูกซองพกออกมา ผู้เสียหายจับมือจำเลยที่ 1 เพื่อแย่งปืน จำเลยที่ 1 ก็ลั่นไกปืนแต่กระสุนไม่ถูกผู้ใด นายเล็กร้องหามีด นายบ่าวก็ชักมีดออกมาแทงผู้เสียหายที่ชายโครงซ้าย ปลายมีดทะลุถึงช่องปอดและแทงในลักษณะเลือกแทง เพราะขณะนั้นผู้เสียหายล้มคว่ำลงที่ท้องเรือแล้ว ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กับพวกมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายระหว่างเสียงปืนดัง จำเลยที่ 3 ก็ลงเรืออีกลำหนึ่งแล่นมาที่กลางแม่น้ำตรงที่เกิดเหตุร้องบอกจำเลยที่ 1 กับพวกว่าเอาให้ตาย ได้พิเคราะห์พฤติการณ์ทั้งหมดของจำเลยที่ 3 แล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกันกับจำเลยที่ 1กับพวก จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงมีความผิดตามฟ้อง พยานฐานที่อยู่ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่พอฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่ 2 ลงเรือมาพร้อมกับจำเลยที่ 1 กับพวกและผู้เสียหาย แต่ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 อยู่เฉยๆ มิได้ทำร้ายผู้เสียหายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันจะถือได้ว่าได้ร่วมกระทำผิดด้วยกันกับจำเลยที่ 1 กับพวก หรือกระทำการอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กับพวกกระทำความผิด ไม่ว่าก่อนหรือขณะกระทำความผิด เมื่อเรือล่มแล้วจำเลยที่ 2 ว่ายน้ำไปทางเดียวกับผู้เสียหายก็ไม่มีพฤติการณ์ว่าจะเข้าไปทำร้ายผู้เสียหาย ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยที่ 3 กับพวกออกไปพูดซุบซิบกันนอกบ้าน แล้วจำเลยที่ 3 ก็บอกให้ผู้เสียหายไปหาหญิงโสเภณีมาให้ ผู้เสียหายก็มิได้ยืนยันว่าในกลุ่มผู้ที่ออกไปพูดซุบซิบกันนั้นมีจำเลยที่ 2 รวมอยู่ด้วย ด้วยเหตุผลดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่ว่าในฐานะตัวการหรือในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 3 กับพวก ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 มานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา…’
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์.

Share