คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1649/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขออาศัยอยู่ในที่ดินของโจทก์ จึงต้องถือว่าจำเลยยึดถือที่ดินในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์ หากจำเลยยึดถือที่ดินในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์ หากจำเลยจะเปลี่ยนลักษณะแพ่งการยึดถือเป็นเพื่อตน ก็ต้องบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าไม่เจตนาจะยึกถือที่ดินแทนโจทก์ต่อไปเสียก่อน การเปลี่ยนเจตนายึดถือโดยไม่บอกกล่าว ไม่มีผลให้เปลี่ยนแปลงฐานะจากยึดถือแทนไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๑ โจทก์ซื้อที่ดิน ๒ ไร่เศษจากจำเลย ๆ ขออาศัยมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๙๕ จำเลยก็ออกไปอยู่ที่อื่น ต่อมา พ.ศ. ๒๔๙๖ จำเลยมาขออาศัยอีก พ.ศ. ๒๔๙๘ โจทก์แจ้งสิทธิครอบครองไม่มีใครโต้แย้ง ต่อมาเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๐๒ จำเลยขัดขวางการครอบครองของโจทก์ และเดือนพฤษภาคม ๒๕๐๒ จำเลยทำรั้ว โจทก์กับพวกห้ามปรามและให้จำเลยออกจากที่ดินก็ไม่ยอมออก จึงขอให้ศาลขับไล่
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทจำเลยครอบครองมา ๒๐ ปีเศษ ไม่เคยขายให้โจทก์
ศาลจังหวัดระยองเชื่อว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทจากจำเลยและให้จำเลยอาศัยจริงแต่ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๐๑ จำเลยห้ามปรามบิดาโจทก์และคนของบิดาโจทก์ไม่ให้ตัดต้นพุทราในที่ดินของจำเลย แล้วไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน บิดาโจทก์ไปให้การต่อพนักงานสอบสวน วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๑ จึงเห็นว่า นับแต่วันจำเลยร้องทุกข์นั้นเป็นการตั้งตัวปรปักษ์ยึดถือที่รายพิพาทเป็นของตน โดยลักษณะแย่งการครอบครองจากโจทก์แล้ว โจทก์มาฟ้องเกิน ๑ ปีหมดสิทธิขับไล่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยขออาศัยที่ดินโจทก์ ฉะนั้น ถ้าจำเลยขออาศัยจริง ก็ต้องถือว่าจำเลยยึดถือที่พิพาทในฐานะเป็นผู้แทนของโจทก์ และบุคคลซึ่งยึดถือทรัพย์ในฐานะผู้แทนผู้มีสิทธิครอบครองนั้น จะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพื่อตนได้ ก็ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๑ โดยมาตรานี้ระบุไว้ชัดว่า ผู้นั้นต้องบอกกล่าวไปยังผู้มีสิทธิครอบครองว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป ฉะนั้น ถ้าผู้ยึดถือทรัพย์สินยังไม่ได้บอกกล่าวไปยังผู้ทรงสิทธิครอบครอง แม้ผู้นั้นจะเปลี่ยนเจตนายึดถือทรัพย์สินเพื่อตนเอง ก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงฐานะยึดถือผู้แทนผู้มีสิทธิครอบครองได้ จึงไม่อาจถือได้ว่ามีการแย่งการครอบครอง กรณีจึงยังไม่อาจเริ่มนับระยะตามมาตรา ๑๓๗๕ จนกว่าผู้ยึดถือจะได้บอกกล่าวไปยังผู้ทรงสิทธิครอบครองก่อน คดีจึงมีประเด็นที่จะต้องพิจารณา ว่าจำเลยเข้าอยู่ในที่พิพาทโดยขออาศัยโจทก์หรือไม่ ถ้าจำเลยเข้าไปอยู่โดยขออาศัยโจทก์ จำเลยได้บอกกล่าวโจทก์ตามมาตรา ๑๓๘๑ หรือไม่ แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยฝ่ายโจทก์ให้จำเลยอาศัย และไม่มีข้อเท็จจริงให้
ถือได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าจำเลยเจตนาจะไม่ยึดถือทรัพย์สินแทนโจทก์ต่อไป โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท

Share