แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ตายเมาสุราโมโหคนในรถที่จำเลยกับพวกที่นั่งมากดแตรเพื่อไม่ให้ผู้ตายกระแทกข้างรถ พอพวกของจำเลยคนหนึ่งเดินมาที่รถผู้ตายก็เข้าไปต่อว่าแล้วเกิดเป็นปากเสียงกันขึ้น เมื่อจำเลยเข้าไปจะดึงพวกของจำเลยขึ้นรถ ผู้ตายยกมือขึ้นทำท่าจะชกต่อยจำเลยจำเลยจึงชกต่อยผู้ตายไป 1 ที ถูกผู้ตายล้มศีรษะฟาดพื้นถนนถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา เพราะสมองได้รับความกระเทือน ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการละเมิดต่อกฎหมายที่ใกล้จะถึงพอสมควรแก่เหตุเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๑๒ เวลากลางคืน จำเลยได้ใช้กำลังกายชกต่อยนายร่วม แกล้วกล้า ถูกบริเวณหน้า ๑ ที นายร่วมล้มหงายศีรษะฟาดพื้นถนนถึงสลบและต่อมาวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ นายร่วมถึงแก่ความตายเพราะเหตุที่สมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรง เหตุเกิดที่ตำบลเทพกษัตรีย์ อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ บวกโทษที่รอการลงโทษเข้ากับคดีนี้ด้วยตามมาตรา ๕๘
จำเลยให้การว่า ได้ต่อยผู้ตายไป ๑ ทีโดยป้องกันตัว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยชกผู้ตายถึงแก่ความตายและไม่ใช่ป้องกัน มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ จำคุก ๓ ปี เอาโทษจำคุก ๑๕ วันที่รอการลงโทษไว้มารวมด้วยเป็นจำคุก ๓ ปี ๑๕ วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยต่อยผู้ตายเพื่อป้องกันตัว จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๘ พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า ในคืนเกิดเหตุจำเลยได้ชกผู้ตายไป ๑ ที ผู้ตายล้มลงสลบและสมองได้รับความกระเทือนจึงถึงแก่ความตายเพราะเนื่องจากถูกจำเลยชก คงมีปัญหาว่าจำเลยได้กระทำไปเพื่อป้องกันตัวหรือไม่ ปรากฏว่าจำเลยกับผู้ตายและพวกต่างไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และทั้งได้ความจากพยานโจทก์ว่า ทั้งผู้ตายและนายวันต่างกินสุรามึนเมาอยู่ โดยเฉพาะผู้ตายนั้น นายสมบัติพยานโจทก์ว่ายืนตัวเซกระแทกข้างรถ อาจเป็นเพราะเหตุนี้เองคนในรถจึงกดแตรเพื่อไม่ให้มากระแทกข้าง ๆ รถ ศาลฎีกาเชื่อว่าเหตุที่กดแตรนี้เองที่เป็นชนวนให้ผู้ตายซึ่งเมาสุราอยู่บ้างแล้วเกิดโมโหพอดีนายปรีชาซึ่งเคยรู้จักกันกับผู้ตายเดินมาที่รถกับพวก ผู้ตายเข้าไปพูดต่อว่าแล้วเป็นปากเสียงกันขึ้นนายปรีชาจะขึ้นรถ ผู้ตายก็ดึงไว้ พอดีจำเลยเข้ามาจะดึงนายปรีชาขึ้นรถ ตอนนี้เองนายสมบัติพยานโจทก์เบิกความว่าผู้ตายยกมือจะชกจำเลย จำเลยจึงชกผู้ตายไป ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ตายเมาและโกรธอยู่ ส่วนพวกนายปรีชาและจำเลยไม่ปรากฏว่าเมา และพยานโจทก์ก็เบิกความดังกล่าวมาแล้วจึงน่าเชื่อว่าผู้ตายคงทำท่าจะชกจำเลยก่อน จำเลยจึงชกผู้ตายไปเพียง ๑ ทีเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ทั้งจำเลยก็ชกไปเพียง ๑ ทีเท่านั้น เป็นการพอสมควรแก่เหตุแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๘
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์