คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1640/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่อำเภอได้ออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)ในที่พิพาทให้เจ้าของที่ดิน จนกระทั่งสำนักงานที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินที่พิพาทให้เจ้าของที่ดินไปแล้ว ดังนี้ถือได้ว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับเดิมเป็นอันยกเลิกแล้วตามความในมาตรา 63 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ต่อมาเจ้าของที่ดินได้นำต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวไปจำนองไว้กับโจทก์ โดยจดทะเบียนการจำนอง ณ ที่ว่าการอำเภอ แล้วต่อมาเจ้าของที่ดินได้นำที่ดินแปลงเดียวกันนี้พร้อมโฉนดไปขายฝากให้บุตรจำเลยโดยจดทะเบียนการขายฝากที่สำนักงานที่ดินจังหวัด แล้วไม่ไถ่คืนภายในกำหนดดังนี้ แม้โจทก์จะรับจำนองไว้โดยจดทะเบียนถูกต้องและสุจริตก็ตามก็หามีผลบังคับแก่ที่ดินแปลงพิพาทไม่ โจทก์ผู้รับจำนองไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลย (ผู้รับโอนมรดกที่พิพาท) ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทจากโจทก์
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2516)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๐๗ นายทองพูล เพียรดีได้จำนองที่ดินตาม น.ส.๓ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ตำบลหล่มสัก อำเภอหล่มสักจังหวัดเพชรบูรณ์ ไว้กับโจทก์เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ๑๕ ต่อปี ภายในกำหนดเวลา ๒ ปี เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนแล้ว โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองในต้นเงินและดอกเบี้ยรวม ๑๔,๒๕๐ บาทก็ปรากฏว่านายทองพูลได้ไปขอสำเนา น.ส.๓ ที่ดินแปลงเดียวกันนี้จากอำเภอ(ต้นฉบับ น.ส.๓ อยู่กับโจทก์) แล้วนำไปออกโฉนดเป็นกรรมสิทธิ์ของตนต่อมาวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๐๙ นายทองพูลได้นำโฉนดที่ดินแปลงนี้ไปขายฝากไว้กับนายไพศักดิ์ ลี้สกุล บุตรจำเลย เป็นเงิน ๖,๕๐๐ บาท เมื่อนายไพศักดิ์ถึงแก่กรรม ที่ดินแปลงนี้ตกทอดเป็นมรดกแก่จำเลยซึ่งมีหน้าที่ไถ่ถอนจำนองกับโจทก์ แต่จำเลยไม่ทำการไถ่ถอน จึงขอให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยรวม ๑๔,๒๕๐ บาท และดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาทนับจากวันฟ้องจนกว่าจะไถ่ถอนการจำนองเสร็จสิ้น
จำเลยให้การต่อสู้ว่า นายไพศักดิ์ ลี้สกุล บุตรจำเลยได้รับซื้อฝากที่ดินตามโฉนดแปลงนี้ไว้จากนายทองพูล เพียรดี ซึ่งได้มีการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และโดยสุจริตเปิดเผย ที่ดินได้พ้นกำหนดไถ่คืน และได้ตกทอดเป็นมรดกแก่จำเลยต่อมา ฟ้องโจทก์ว่านายทองพูลได้จดทะเบียนจำนองกับโจทก์ไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ ตาม น.ส.๓ นั้น จำเลยไม่รับรอง เพราะที่ดินแปลงนี้นายทองพูลได้รับโฉนดมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๕ อันมีผลให้ลบล้าง น.ส.๓ ไปในตัว น.ส.๓ ที่โจทก์รับจำนองไว้จึงหามีผลอย่างใดไม่ โจทก์จะอ้างการจดทะเบียนจำนองยกขึ้นยันจำเลยซึ่งได้กระทำการโดยสุจริตและจดทะเบียนการได้มาโดยชอบมิได้
ในวันชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับกันว่า จำเลยได้รับซื้อฝากที่ดินตามโฉนดไว้จากนายทองพูล เพียรดี ซึ่งโฉนดดังกล่าวได้ออกให้แก่นายทองพูลเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๐๕ ส่วนโจทก์ได้รับจำนองที่ดินแปลงเดียวกันไว้จากนายทองพูลตาม น.ส.๓ เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๐๗ ต่างแถลงรับความสมบูรณ์ถูกต้องของนิติกรรมจำนองและขายฝาก และขอให้ศาลชี้ขาดตามคำฟ้องคำให้การ และ ข้อแถลงรับกันเพียงประเด็นเดียวว่า โจทก์จะมีสิทธิบังคับจำนองแก่จำเลยได้หรือไม่ โดยต่างสละประเด็นข้ออื่นทั้งสิ้น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นายทองพูล เพียรดี ได้ขอใบแทน น.ส.๓ไปขอออกโฉนดและได้รับโฉนดตั้งแต่วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๐๕ หนังสือ น.ส.๓จึงเป็นอันยกเลิกไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๓ การจำนองตาม น.ส.๓ แม้จะสมบูรณ์สุจริต ก็หามีผลแต่อย่างใดไม่ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้จดทะเบียนนิติกรรมจำนองไว้ก่อน สิทธิจำนองของโจทก์ย่อมใหญ่กว่าสิทธิขายฝากของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๒๒ พิพากษากลับ ให้จำเลยไถ่ถอนจำนองจากโจทก์ในจำนวนเงิน ๑๔,๒๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ๑๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท จากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้าไม่ไถ่ให้เอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมนายทองพูล เพียรดี เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว ต่อมานายทองพูลได้ขอใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากอำเภอหล่มสักไปขอออกโฉนดที่ดิน และได้รับโฉนดที่ ๑๕๙ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ แล้วนายทองพูลจึงได้นำที่ดินพร้อมหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (ต้นฉบับอยู่ที่นายทองพูล)ไปจำนองไว้กับโจทก์ โดยจดทะเบียนการจำนองที่อำเภอหล่มสัก เมื่อวันที่ ๑๗เมษายน ๒๕๐๗ มีกำหนดเวลาไถ่จำนองภายใน ๒ ปี ต่อมานายทองพูลได้นำที่ดินพิพาทแปลงเดียวกันนี้พร้อมโฉนดไปขายฝากนายไพศักดิ์ ลี้สกุลบุตรของจำเลย จดทะเบียนการขายฝากที่สำนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์เมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๐๙ แล้วไม่ได้ไถ่คืน จนนายไพศักดิ์บุตรของจำเลยผู้รับซื้อฝากตาย จำเลยจึงรับโอนมรดกที่พิพาทมาเป็นของจำเลย ทั้งโจทก์จำเลยต่างสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนนิติกรรมโดยถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ว่า การที่อำเภอหล่มสักได้ออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ให้นายทองพูลเพียรดี จนกระทั่งสำนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ได้ออกโฉนดพิพาทให้นายทองพูล เพียรดี ตั้งแต่วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๐๕ ถือได้ว่ากรณีต้องด้วยมาตรา ๖๓ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งบัญญัติว่าเมื่อได้ออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์หนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับเดิมเป็นอันยกเลิก ฉะนั้น การที่นายทองพูล เพียรดีนำต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ที่ถูกยกเลิกแล้วไปจำนองไว้กับโจทก์ แม้จะได้จดทะเบียนโดยถูกต้องและสุจริตเพียงใดก็หามีผลบังคับแก่ที่ดินแปลงพิพาทไม่ เพราะหลักฐานในการแสดงการครอบครองและรับรองการทำประโยชน์ฉบับที่ทำให้เกิดการจำนองถูกยกเลิกไม่มีผลตามกฎหมายเสียแล้ว และยิ่งกว่านั้นขณะที่ทำจำนองก็เป็นเวลาหลังจากที่ทางราชการได้ออกโฉนดที่ดินแปลงพิพาทเรียบร้อยแล้วด้วยการจำนองระหว่างโจทก์กับนายทองพูล เพียรดี ไม่มีผลเป็นการจำนองตามกฎหมาย โจทก์จะบังคับจำนองโดยให้จำเลยไปไถ่ถอนการจำนองที่พิพาทจากโจทก์ไม่ได้
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share